‘คริส ช่วยฉันด้วย’
.
.
ชายหนุ่มกดคำสั่งออกบนมือถือก่อนจะปิดโทรศัพท์ฝาพับลง ดวงตาเชียบคมจ้องมองไปยังจอมอนิเตอร์ที่ฉายภาพจากกล้องวงจอรปิดอยู่ถึงสี่ตัวภายในบ้าน คริสถอนหายใจยาวเหยียดพร้อมกับเหล่ตามองโทรศัพท์สีเทาที่กำลังสั่นอยู่ในมืออย่างเบื่อหน่ายก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะ
“มีอะไรวะ” ชานยอลที่กำลังนั่งมองดูเพื่อนสนิทสูงทำสีหน้าซังกะตายอยู่ห่างๆเอ่ยถามขึ้น เขาเห็นคริสนั่งมองโทรศัพท์สลับกับมองจอคอมพิวเตอร์นี้โดยที่ไม่ทำอะไรมานานเกือบยี่สิบนาทีกว่าแล้ว
“โซรา...เอาอีกแล้ว” คริสถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะหมุนเก้าอี้หันหลังออกจาโต๊ะคอมฯแล้วหยิบเอาเบียร์กระป๋องจากถุงมินิมาร์ทขึ้นแกะดื่มพร้อมกับหยิบขนมปลาหมึกแห้งติดมือมาด้วย
“ทำไมไม่ไปดูเขาหน่อย” ชานยอลเอ่ยถามนิ่งๆพร้อมกับกรอกตาไปมา ถ้าพูดถึงโซราเขาก็พอจะรู้จักบ้างในฐานะที่เธอเป็นภรรยาของเพื่อนสนิทที่เพิ่งแต่งงานกันไปหมาดๆไม่นาน แต่ในช่วงหลังมานี้คริสเล่าให้ฟังว่าเธอมีอาการแปลกๆเหมือนจะเป็นโรคประสาทแถมยังมีพฤติกรรมก่อกวนไม่หยุด
“โทรมาจะร้อยสายแล้ว นี่ก็ยังส่งข้อความซ้ำๆมาอีก จะว่าห่วงก็ห่วงว่ะแต่ทำแบบนี้ก็ไม่ไหว” คริสยกเบียร์ขึ้นจิบก่อนจะหันมองดูจอคอมพิวเตอร์ที่ถูกดัดแปลงเป็นมอนิเตอร์ชั่วคราวอย่างไม่วางตา เขาดูภาพที่ถ่ายทอดสดตรงมาจากห้องนอนที่บ้านของตัวเองด้วยความรู้สึกสงสัยปนสยองพิลึกที่เห็นภรรยาของเขานั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงแถมยังร้องไห้และขว้างปาสิ่งของไปรอบห้อง บางครั้งก็ยังทำท่าเหมือนตะโกนอะไรบางอย่างออกมาด้วย
“แล้วพาไปหาหมอยัง”
“ก็บอกว่าจะพาไปหาจิตแพทย์แล้วก็ทะเลาะกันบอกว่าฉันหาว่าเธอบ้า ก็จนปัญญาไม่รู้จะทำยังไง” คริสเหล่ตามองโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุดพร้อมกับกรอกตาไปมา
นี่จะเข้าอาทิตย์ที่สองแล้วที่ภรรยของาเขามีอาการเหมือนคนไม่ปกติ โดยที่มันเริ่มตั้งแต่จันจันทร์ก่อนที่โซราบอกว่าเธอได้ยินเสียงก้อกแก้กเหมือนโจรขึ้นบ้านตอนกลางคืน ตอนนั้นคริสเองก็กังวลเช่นกันว่าจะมีใครบุกเข้าบ้านเขาจริงๆเลยจ้างยามมาเฝ้าเพิ่ม แต่หลังจากนั้นภรรยาของเขาก็บอกอีกว่าได้ยินเสียงเหมือนมีคนค้นบ้านอีกจนคริสจึงเริ่มเอะใจว่ามันมีอะไรเพราะบ้านเขาเป็นบ้านสามชั้นและอีกอย่างบนชั้นสามก็มีแต่ห้องนอนกับห้องพักรับรองไม่มีสมบัติมีค่าอะไรเลย
จนกระทั่งหนักขึ้นเรื่อยๆคือโซราเริ่มใส่กุญแจคล้องห้องนอน ปลุกคริสขึ้นมากลางดึกแล้วบอกว่ามีคนพยายามเข้าห้องและที่แย่กว่าคือเธอไม่ล็อกห้องไม่ยอมให้เขาเข้าไปนอนด้วยตอนกลางดึกหลังจากที่คริสเพิ่งเคลียร์งานเสร็จโดยเหตุผลคือเธอคิดว่าเขาจะทำร้ายเธอ...
“แล้วตอนแกนอนได้ยินเสียงอะไรมั่งปะหละ” ชานยอลยกเท้าขึ้นวางบนบนโต๊ะกระจกพร้อมกับจ้องมองหญิงสาวที่มีพฤติกรรมประหลาดอยู่ในจอกล้อง แน่นอนว่าชานยอลไม่เห็นอะไรเลยนอกจากโซราที่ทำท่าทางเหมือนจะหนีอะไรสักอย่างแถมยังพาลเขวี้ยงนั่นนี่ไปเรื่อย
“ไม่ได้ยินว่ะ ฉันว่าเธอไม่โกหกนะแต่คงเป็นโรคประสาท” คริสว่าตามที่คิด มันหลายครั้งแล้วที่เขาหูตาแหกขับรถกลับบ้านไปกลางดึกทั้งๆที่ยังทำงานไม่เสร็จเพราะภรรยาโทรมาบอกว่าให้ช่วยด้วยแต่ทุกครั้งที่คริสกลับไปถึงบ้านก็ไม่มีอะไรผิดปกติทั้งนั้น ตอนแรกเขาคิดว่าเธอโกหกแต่พอคริสตัดสินใจติดกล้องวงจรปิดในห้องและที่ทางเดินชั้นสามเขาก็เห็นว่าโซรามีท่าทางเหมือนกลัวอะไรบางอย่างจริงๆแถมยังกลัวมากซะด้วย
“ผีหรือเปล่าวะ” ชานยอลว่าพร้อมกับหัวเราะออกมา แน่นอนว่าเขาแค่พูดเล่นเท่านั้นเพราะนี่ยุคเทคโนโลยีแล้วผีจะไปมีจริงได้ยังไง ชานยอลคิดว่าเมียของเพื่อนสนิทน่าจะเป็นโรคประสาทหรือโรคอะไรสักอย่างมากกว่า
“เฮ้อ... คงต้องให้หมอไปตรวจที่บ้านแล้วว่ะ” คริสทำหน้าเบื่อหน่ายและยกเบียร์ขึ้นซด เขาไม่รู้ว่าต้องจัดการยังไงกับเรื่องนี้ คริสยอมรับว่าตัวเองไม่ได้รักและใส่ใจภรรยามากเท่าที่ควรเพราะถูกจับแต่งงานแบบคลุมถุงชนแต่การที่เธอมีอาการประสาทและพฤติกรรมก่อกวนจนสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไปทั่วแบบนี้เขาก็ไม่ปลื้มเหมือนกัน
“ก็ลองโทรเรียกแม๊คนีโต้มาตรวจเมียดู ฮ่ะๆ” ชานยอลว่าพร้อมกับหัวเราะออกมา เขาเองก็เห็นใจเพื่อนตัวสูงเหมือนกันที่ต้องทนกับเรื่องนี้มาเกือบจะสองอาทิตย์แล้วและชานยอลเองก็หวังว่าเธอจะหายดีในเร็ววัน...
เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงที่คริสนั่งดื่มกับชานยอลจนหลับคาโต๊ะเหล้าและมาตื่นอีกทีตอนตีสองเพราะได้รับโทรศัพท์จากตำรวจที่โทรมาบอกว่ามีคนถูกฆ่าตายที่บ้านของเขา คริสหัวใจเต้นแรงจนแทบหน้ามืดเขาสร่างเมาทันทีแล้วรีบขับรถบึ่งกลับมาที่บ้านด้วยความตกใจ
พอขับรถมาถึงคริสเห็นรถตำรวจหลายคันจอดอยู่ในรั้วบ้านเต็มหน้าคฤหาสน์ไปหมด เขาแทบจะเป็นลมเมื่อลงไปจากรถและทราบจากตำรวจว่า คิม โซราเสียชีวิตแล้วเพราะถูกฆ่าหั่นศพ...
“หมายความว่ายังไง...” คริสทรุดเข่าล้มลงกับพื้นหญ้าหน้าสนามบ้านอย่างหมดแรง เขารู้สึกอึ้ง ช็อค ตกใจปนแปลกประหลาดเมื่อเรื่องที่คริสเคยพูดประมาทเมื่อ2-3ชั่วโมงก่อนเกิดขึ้นจริง ตำรวจบอกว่าศพเธอถูกเก็บไปแล้วเมื่อกี้แต่ตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่อนุญาตให้เขาเข้าไปในที่เกิดเหตุ
“ครับ...เธอถูกฆ่าและหั่น ต้องเอาศพไปตรวจที่แผนกชันสูตรก่อน” คุณตำรวจคุกเข่านั่งลงจับบ่าชายหนุ่มเอาไว้แน่นอย่างเป็นกำลังใจก่อนจะลุกไปสั่งลูกอะไรบางอย่างกับลูกน้องสองคน ตอนนี้ในหัวคริสมันตื้อไปหมดเขารู้สึกกลัวผสมกับความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับโซรา อะไรคือสิ่งที่ทำให้เธอกลัวและสิ่งนั้นเป็นมนุษย์หรือไม่ ทำไมถึงได้คิดจะฆ่าเธอ
“คุณตำรวจครับ ในห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ ผะ...ผมว่ามันต้องถ่ายเอาไว้ได้!” คริสยืนขึ้นละล่ำละลักเสียงสั่นบอกกับคุณตำรวจเมื่อนึกขึ้นได้ กล้องวงจรปิดที่เขาติดไว้เพื่อสังเกตพฤติกรรมภรรยาจะต้องจับภาพคนทำไว้ได้แน่ๆและไม่ว่ามันเป็นใครคริสเชื่อว่าตำรวจจะต้องตามตัวเจอ
“ครับ เรื่องนั้นแหละที่เราอยากบอก คุณช่วยไปหากล่องเก็บวีดีโอให้หน่อย”
“ครับ มันอยู่ในห้องทำงานผม” คริสพยักหน้ารับ หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมานอกอกด้วยความหวาดกลัว คริสเดินนำตำรวจสองคนมุดรอดเทปสีเหลืองเข้าไปในเขตห้ามเข้าแล้วเดินเข้าประตูไปทันที
คริสมองซ้ายมองขวาเพื่อสังเกตุสภาพบ้านและทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ไม่มีของหายไม่ว่าจะเป็นหยกมังกรหรือทีวีจอแบน มันแน่หละว่าที่ว่าคงไม่ใช่โจรแน่เพราะถ้าเป็นโจรคงไม่ฆ่าแล้วหั่นขนาดนี้มันอาจจะมีความแค้นอะไรบางอย่างกับภรรยาของเขาถึงได้ตามมาสะกดรอยเธอ หลอกหลอนให้กลัว และจัดการฆ่าทิ้งในท้ายที่สุด
คริสรีบวิ่งขึ้นบันไดโดยที่ไม่ฟังเสียงห้ามของใคร เขาเดินตรงอิ่งไปที่ห้องทำงานที่ชั้นสองทันทีโดยมีตำรวจที่ตามมาเพิ่มอีก3คนเดินตามมา คริสล้วงมือเอาลูกกุญแจในกระเป๋ากางเกงมาไขห้องอย่างรวดเร็ว เขาเปิดสวิตซ์ไฟที่มุมขวาให้ห้องสว่างก่อนจะตรงไปเปิดLCDขนาดใหญ่แล้วขยับเมาส์เพื่อกรอกล้องไปตอนก่อนหน้านี้ทันที4ชั่วโมงคือตอนสี่ทุ่มกว่าๆเพราะตอนนั้นเธอยังมีชีวิตอยู่จากที่เขาดูในจอคอมที่ทำงาน
“คุณติดกล้องไว้ในห้องนอนทำไม” ตำรวจนายนึงถามขึ้นอย่างสงสัย ปกติแล้วไม่มีใครติดกล้องวงจรปิดในห้องนอนแน่ เขาเหล่ตามองชายหนุ่มแว้บนึงก่อนจะหันไปมองเจอ
“เธอบอกว่ามีคนได้ยินเสียงคนเข้าบ้านตอนกลางคืนมาจะสองอาทิตย์แล้ว แต่ผมคิดว่าเธอเป็นโรคประสาทเลยติดกล้องดูพฤติกรรมเธอ” คริสอธิบายพร้อมกับชี้ไปที่จอให้ตำรวจที่ยืนอยู่เห็นว่าภรรยาของเขามีท่าทางเหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่างๆหนัก แถมยังคว้างปาสิ่งของไปรอบๆห้อง
ตำรวจทั้งห้าคนที่ได้ดูเทปจากกล้องวงจรหันไปมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมายด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“เธอเคยเป็นโรคประสาทหรือเปล่า”
“ไม่ ผมไม่รู้ เราเพิ่งแต่งงานเมื่อไม่กี่เดือนแต่เธอเพิ่งมีอาการช่วงสองอาทิตย์หลัง เธอโทรหาผมตอนอยู่ที่ทำงาน ส่งข้อความหาถี่มากบอกว่ามีคนอยู่นอกห้องแต่มันไม่มีอะไร” คริสอธิบายและชี้ไปที่จอสี่เหลี่ยมด้านขวาบนของจอภาพที่ฉายภาพทางเดินเป็นอินฟาเรดโดยที่ไม่มีสิ่งไดเคลื่อนไหวเลย
“เราโทรหาแม่เธอแล้วเดี๋ยวเราจะถามเรื่องนี้เอง เธอส่งข้อความอะไรหาคุณบ้าง” นายตำรวจทั้งสี่ยังคงจ้องจอ LCDต าไม่กระพริบโดยที่คนหนึ่งมีหน้าที่ซักถาม
“เธอส่งมาบอกว่าช่วยด้วยมีคนอยู่ข้างนอก ได้ยินเสียงเหมือนคนพยายามงัดประตูแล้วก็เสียงคนลากอะไรด้วย แต่เธอส่งข้อความแบบนี้หาผมเป็นร้อยมาอาทิตย์นึงแล้ว” คริสล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์ฝาพับในกระเป๋ากางเกง กดเข้าเมนูข้อความในถาดเข้าก่อนจะยื่นให้ตำรวจดูเพราะคริสไม่เคยลบมันและบางข้อความก็ไม่คิดจะอ่านด้วยซ้ำเพราะมันน่ารำคาญ
คุณตำรวจไม่ได้พูดอะไรแต่รับโทรศัพท์ไปกดอ่านดูข้อความหลายฉบับที่ยังไม่ได้ถูกเปิดอ่าน ในขณะที่นายตำรวจคนนึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าเครื่องบันทึกและกดข้ามไปหลายๆช็อตเพื่อที่จะได้ดูว่าเธอถูกฆ่าตอนไหนเพราะฆาตกรบุกเข้าไปฆ่าเธอถึงในห้องนอนโดยที่ใช้อะไรบางอย่างคล้ายขวานฟันประตูซะเละและคิดว่าน่าจะเป็นของอย่างเดียวกันกับที่ใช้สับร่างของเธอด้วย
“ยาม3คนบอกว่าไม่มีใครเข้าออกเลยทั้งคืน ในมือถือเธอพิมพ์ข้อควาที่กำลังจะส่งด้วย แต่มันมีตัวอักษรที่ไม่น่าใช่ข้อความอยู่ เดี๋ยวผมจะเอาให้ดู” นายตำรวจหันไปพยักหน้ากับลูกน้องเป็นเชิงว่าให้ไปเอาของชิ้นนั้นมาก่อนจะยื่นโทรศัพท์คืนให้คริสและเดินไปเฝ้าที่หน้าจอต่อ
“ผมเข้าไปในห้องได้ไหม” คริสถามด้วยหัวใจที่ไหวสั่น ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาชุ่มเหงื่อไปหมดเพราะชีพจรที่เต้นเร็ว คริสยอมรับว่าเขากลัวจริงๆไม่ว่าคนที่ฆ่าโซราจะเป็นใครแต่ถ้ามันโหดขนาดบุกมาฆ่าคนแล้วสับเป็นชิ้นๆได้อย่างนี้ก็ไม่ธรรมดา แถมยังรอดพ้นสายตายามและปลดกุญแจที่ประตูใหญ่หน้าบ้านได้ด้วย
“ยังไม่ได้จนกว่าจะเก็บหลักฐานเสร็จ ข้ามไปตอนเที่ยงคืน” ตำรวจคนเดิมหันมาตอบคริสก่อนจะออกคำสั่งกับลูกน้อง เพียงไม่นานตำรวจที่วิ่งออกไปเอาหลักฐานเมื่อครู่ก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับซองพลาสติกที่ใส่โทรศัพท์สมาร์ทโฟรเอาไว้ เขาเดินเอาถุงนั่นมายื่นให้ตำรวจคนเดิมก่อนจะถอยหลังออกไป
“มันบันทึกอยู่ในฉบับร่างตอนเที่ยงคืนกว่าเพราะเธอไม่ได้กดส่งคงเพราะตกใจ ” คุณตำรวจรับโทรศัพท์มากดเข้าข้อความที่พิมพ์ค้างเอาไว้ก่อนจะส่งให้คริสดู
คริสรับมันมาอย่างรวดเร็วและอ่านข้อความบนจอนั้นวนซ้ำหลายครั้งพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น ในประโยคแรกเขียนเป็นภาษาเกาหลีว่า ‘มันเข้ามา’ แต่ในตัวอักษรที่รัวอยู่ด้านหลังนั้นเขาไม่เข้าใจเพราะมันเป็นการกดรัวตัวชีอึดจนกลายเป็นซังชีอึดและตามด้วยอาเหมือนจะพิมพ์ชาหรือจา แล้วต่อด้วยที่อึดกับแอและชีอึดอีกที
ᄊᄊᄊᄊ자덋ᄊᄊ
อะไรชาแดช...
“เธอตกใจหรือเปล่าเลยเผลอกดแป้น ไม่ก็พิมพ์ผิดเพราะเธอไม่เก่งภาษาเกาหลี” คริสอ่านข้อความวนไปมาหลายรอบแต่ก็ไม่เข้าใจว่าไอ้ประโยคที่ออกเสียงว่า ชาแดช จาแทช นี่มันคืออะไรหรือเธอกดแป้นผิด ไม่ก็เผลอรัวมือเพราะความกลัว อีกอย่างโซราก็โตที่เมืองนอกด้วยซึ่งเธอไม่เก่งภาษาเกาหลีบางทีเธออาจจะสะกดตัวพลาดกรือเขียนผิด...แต่จะว่ารัวมือก็บังเอิญไปหน่อยเพราะมันไม่น่าออกมาเป็นคำขนาดนี้
“ผมให้คนลองเทียบแป้นใกล้เคียงแล้ว...เดี๋ยวนั่น!!” คุณตำรวจกำลังพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ต้องร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อกล้องจับภาพใครบางคนที่ใช้ผ้าห่มผืนใหญ่คลุมตัวเอาไว้ได้ คริสและตำรวจคนอื่นๆเดินเข้าไปมุงจอทันทีด้วยความตื่นเต้น
ภาพเริ่มถ่ายจากกล้องทางเดินที่มีชายคนนึงรูปร่างสูงใหญ่ใช้ผ้าห่มคลุมทั้งตัวเดินออกมาจากมุมมืด...มันลากขวานด้ามยาวก่อนจะเดินไปหยุดอยู่กลางห้องแล้วยกขวานจามประตูอย่างแรง ภาพมุมซ้ายเป็นภาพหญิงสาวที่ทำท่าเหมือนกรีดร้องลนลานเขยิบตัวถอยหลังจนชิดหัวเตียงแต่เธอไม่ยอมวิ่ง
หัวใจของคริสเต้นรัวอย่างหนักด้วยความหวาดกลัวผสมกับตื่นเต้น ถึงภาพจากทางเดินจะมืดและมองไม่ชัดเพราะมันยืนอยู่ไกลแต่คริสมั่นใจว่าในกล้องในห้องนอนจะต้องเห็นชัดแน่
“ปรับช้าหน่อย” ตำรวจคนเดิมสั่ง ไอ้มนุษย์ตัวสูงใหญ่ในภาพจามขวานอีกสองทีจนประตูหลุดออก มันผลักประตูและเดินทึ่มๆช้าๆเข้าไปในห้องที่มีหญิงสาวกำลังกรีดร้องอยู่ด้วยความกลัว ฆาตกรใต้ผ้าคลุมผืนใหญ่หันหลังให้กล้องเดินตรงเข้าไปเงื้อขวานสับเธออย่างแรงโดยที่ไม่มีการรีรอหรือชั่งใจ
คริสหลับตายกมือขึ้นปิดหน้ากับภาพสุดโหดที่ไร้ซึ่งความปรานี ถึงเขาจะไม่ได้รักเธอแต่คนที่นอนด้วยกันทุกวันมาเจอเรื่องแบบนี้คริสเองก็รับไม่ได้เหมือนกัน เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะหรี่ตาขึ้นมองจออีกครั้ง
ไอ้มนุษย์ใต้ผ้าคลุมสับขวานใส่ร่างเธอด้วยท่าทางแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์หลายครั้งก่อนจะหยุดนิ่งไปแล้วเดินออกไปจากห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพร้อมกับหายกลับไปในมุมมืด...
“ดูกล้องชั้นล่าง” ทันทีหัวหน้าออกคำสั่ง นายตำรวจที่คลุมกล้องก็กดสับไปที่วงจรปิดชั้นล่างทันทีแล้วจ้องมองอย่างไม่วางตา ทุกคนคอยดูว่าไอ้ฆาตกรมันจะหลบไปทางไหน แต่ปรากฏว่าไม่มีใครเดินลงมาชั้นล่างเลยแม้จะผ่านไปเกือบสองนาที
“เฝ้ากล้องไว้ คุณไปกับผม!” นายตำรวจท่าทางขึงขังคนเดิมคว้าแขนชายหนุ่มให้วิ่งออกไปจากห้องทันที คริสไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่เขาตื่นเต้นมากจนบอกไม่ถูก นายตำรวจคนนั้นลากคริสฝ่ากองตำรวจขึ้นไปยันชั้นสามที่ทีมชันสูตรเฝ้าอยู่ เขาคุยกับผู้หญิงสวยๆคนนึง 2 - 3 ประโยคก่อนที่คริสจะได้รับอนุญาตให้เข้าไป
“ช่วยไขประตูทุกห้องให้หน่อย” คุณตำรวจสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง คริสพยักหน้ารับหยิบเอาพวงกุญแจในกระเป๋าก่อนจะเดินไปไขห้องแรกที่ติดกับทางขึ้นบันไดด้วยมือที่สั่นเทา เขาสอดกุญแจเข้าไปในลูกบิดแล้วไขช้าๆ พอเสียงลูกบิดดังกิ๊กเพราะชนวนล๊อคถูกปลดคริสก็รีบเดินถอยห่างออกมาทันที
“นี่ห้องอะไร”
“ห้องเก็บของครับ” คริสตอบ ถึงที่จริงแล้วห้องนี้เป็นห้องพักรับรองอีกหนึ่งห้อง แต่เพราะว่าไม่มีใครได้มาเยี่ยมบ้านเขานานมากแล้วคริสเลยใช้มันเก็บพวกของเก่าๆที่ไม่ได้ใช้และไม่มีราคาอะไรมันมีแค่พวกหุ่นประดับสระน้ำ รูปปั้น ตู้เก่า และหนังสือขาดๆเท่านั้น
ตำรวจหนุ่มชั่งใจชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆเดินไปเปิดประตูท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จ้องมองมาอย่างลุ้นระทึก บริเวณหัวบันไดมีตำรวจสองคนหยิบปืนขึ้นมาเตรียมป้องกันไว้แล้วหากมีใครพุ่งออกมาหรือเกิดอะไรขึ้น
คริสได้แต่ถอยหลังกรูดไปยืนอยู่ห่างๆปล่อยให้พวกตำรวจประจำที่ เขาเห็นนายตำวรวจคนนั้นจับปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวไว้แน่นก่อนจะผลักประตูเข้าไปอย่างแรงโดยที่นายตำรวจที่ยืนอยู่ที่บันไดก็วิ่งเข้ามาแบล็คหลัง คริสเริ่มเข้าใจได้ว่าตำรวจพวกนี้คงคิดว่าฆาตกรจะเข้าไปแอบในห้องเก็บของหรือห้องไดห้องหนึ่งบนชั้นสามนี่เลยมาค้นดู
“บะ...บ้าน่า...” เสียงพูดของนายตำรวจที่เข้าไปในห้องทำให้ตำรวจสองคนที่อยู่ด้านนอกเดินเข้าไปดู คริสเองก็ไม่รอช้าเขาเดินเข้าไปในห้องเก็บของทันทีโดยที่ไม่ขออนุญาตใคร
.
.
.
.
.
.
คริสจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นรัวจนแทบจะหลุดออกนอกอก เหงื่อของเขาไหลหยดจากปอยผมลงบนไหล่เสื้อ ลมหายใจติดขัดเหมือนกับไม่มีอากาศหายใจเมื่อสิ่งที่คริสกำลังมองเห็นมันชั่งน่าพิศวงเหลือเกิน...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
คริสจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นรัวจนแทบจะหลุดออกนอกอก เหงื่อของเขาไหลหยดจากปอยผมลงบนไหล่เสื้อ ลมหายใจติดขัดเหมือนกับไม่มีอากาศหายใจเมื่อสิ่งที่คริสกำลังมองเห็นมันชั่งน่าพิศวงเหลือเกิน...
.
.
.
.
.
.
รูปปั้นนางฟ้าตัวใหญ่แขนหลุดตัวนึงยืนแสยะยิ้มอยู่กลางห้องโดยมีผ้าห่มเปื้อนเลือดกองอยู่ที่พื้นพร้อมกับขวานและซากแขนที่หักหลุดออกมาจากรูปปั้นโดยที่ฝ่ามือนั้นกำขวานไว้แน่นราวกับเป็นการยืนยันตัวว่าตนเองเป็นผู้ก่อเหตุฆาตกรรมครั้งนี้...
รูปปั้นนางฟ้าชิงๆ ที่แปลว่าดวงดาว...รูปปั้นที่เป็นของขวัญจากแฟนเก่าของคริสในวันฉลองขึ้นบ้านใหม่
.
.
.
.
.
ของขวัญจาก จาง อี้ชิง....
คริสขนลุกเกรียวไปทั้งตัวด้วยความหวาดกลัวเมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มเย็นๆของมัน และเมื่อนึกถึงข้อความที่ภรรยาของเขาพิมพ์ทิ้งไว้ก็ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวเข้าไปใหญ่....
คำว่าชาแทชที่โซราพิมพ์ในมือถือก็คงจะเป็นการออกเสียงของคำว่า สะ-แทช ที่แปลว่ารูปปั้นนั่นแหละ....
จะว่าเชื่อก็ไม่เชิงแต่ทุกอย่างมันคาตาอยู่ตรงหน้าและความจริงอีกอย่างคือเขารู้มาว่าอี้ชิงตายไปแล้วตั้งแต่หลายเดือนก่อนโดยการกระโดดน้ำตายถึงครอบครัวจะไม่เชื่อว่าอี้ชิงจะเป็นคนฆ่าตัวตายเองก็ตาม และแน่นอนว่าคริสเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่พอเจอเหตุการณ์แบบนี้มันก็ทำเอาเขาอึ้งจนพูดไม่ออก...
คริสไม่ได้เชื่อแค่ว่ารูปปั้นนี่เป็นคนฆ่าภรรยาเขา...แต่คริสยังเชื่ออีกว่าคนที่ฆ่า จาง อี้ชิง คนรักของเขาคือ คิม โซรานั่นเอง...
-END-
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น