วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

[SF] Gemini ~First part~








37 วัน...





 
“อี้ชิง~ คริส... ลงมากินข้าวได้แล้วลูก” 

ในช่วงเวลาเช้าที่แสนน่าเบื่อ เสียงเรียกของคุณนายอู๋ดังขึ้นเวลาเดิมเหมือนนาฬิกาปลุกที่ถูกตั้งไว้ตอนเวลาเจ็ดโมงเช้าของทุกวัน เสียงวิ่งลงบันไดดังมาจากห้องโถงรัวตึกๆๆอย่างรีบร้อนเหมือนกับม้าวิ่งจนเกรงว่าบันไดอาจจะพังลงมาก่อนที่จะเดินถึงพื้น เพียงไม่นานเด็กผู้ชายสองคนก็ลงมายืนอยู่หน้าห้องครัวแล้วในสภาพแต่งชุดนักเรีนเรียบร้อยพร้อมกระเป๋าสะพาย


“ม๊าฮะ อี้ต้องรีบไปโรงเรียนแล้วนะ วันนี้อี้ไม่ทานข้าว” เด็กผู้ชายตัวเล็กผิวขาวพูดขึ้นพร้อมกับเดินนำพี่ชายตัวสูงเข้าไปในครัว ทั้งยังเอื้อมมือไปหยิบติ่มซำบนโต๊ะโดยที่ไม่ใช้ตะเกียบจนโดนผู้เป็นแม่ตีมือเพรี๊ยเสียงดัง


“อย่าจก! ทำไมไม่กินข้าวหละลูก นี่ยังเช้าอยู่เลย” หญิงสาววัยกลางคนหันไปดุลูกชายคนเล็กเสียงเข้มพร้อมกับเอ่ยคำถามแสดงความเป็นห่วงที่ฟังดูขัดกับประโยคก่อนหน้ามาก


“อี้มีการบ้านอ่า แหะๆ” จาง อี้ชิง ส่งยิ้มแหยๆพร้อมกับเสียงหัวเราะแห้งๆไปให้กับผู้แม่ เพราะว่าเมื่อคืนเขามัวเล่นเกมส์ดิจิตอลจนดึกดื่นแล้วเผลอหลับไป พอตื่นเช้ามาอีกทีก็เหมือนความจำตีกลับสู่สมองและสำนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ทำการบ้านเลยสักวิชาเดียว


“ไม่ได้นะลูก ข้าวเช้าสำคัญที่สุด ยังไงก็ต้องกิน” คุณนายอู๋ดุพร้อมกับเดินไปกดไหล่ลูกชายให้นั่งลงบนเก้าอี้ ถ้าอี้ชิงไม่ยอมกินข้าวก็จะปวดท้องแล้วเดือดร้อนไปถึงอี้ฟานที่ต้องรับเคราะห์ไปด้วยแม้จะไม่ได้เป็นคนทำเพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่อี้ชิงไม่สบายแล้วคริสจะเป็นปกติ...


“ม๊าก็ให้พี่คริสทำการบ้านให้อี้หน่อยสิ อี้จะได้กินข้าว” คนตัวเล็กกล่าวอย่างกระตือรือร้น ทำหูตาแวววาวด้วยความดีใจ มือข้างที่ว่างอยู่เกาะหมับเข้าที่แขนของคนตัวสูงที่เดินมายืนค้ำหัวอยู่ข้างๆเอาไว้แน่น อี้ชิงรู้ว่าคริสจะไม่ปฏิเสธแน่ถ้าเขาบอกว่าจะไม่กินข้าวหากการบ้านไม่เสร็จ


“นายนี่จริงๆเลยนะ เดี๋ยวตอนกลางวันก็บ่นปวดท้องอีก” เด็กผู้ชายผมสีทองที่ยืนอยู่ข้างๆกันพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆตามฉบับคาแรคเตอร์คาริสม่า ก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้ติดกับน้องชาย
อี้ชิงแสดงท่าทางดีใจจนออกนอกหน้า ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มแก๋มบุ๋ม เขาไม่สนใจเรื่องการบ้านอีกต่อไปเพราะถ้าคริสได้รับปากแล้วว่าจะทำให้แล้วก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง อี้ชิงแกะตะเกียบพร้อมกับจ้องมองอาหารหน้าตาน่ารับประทานตรงหน้าที่เรียงกันเป็นตับรอให้เขาเข้าไปหม่ำมัน


“เดี๋ยวเถอะอี้ เอาใหญ่แล้ว คริสก็ตามใจน้องอยู่ได้” คุณนายอู๋ดุอย่างไม่จริงจังนัก เธอพูดในขณะที่ตักข้าวแจกทุกคนบนโต๊ะ อี้ชิงเป็นแบบนี้เสมอ นอกจากจะไม่ค่อยมีความรับผิดชอบแล้วก็ยังไม่ชอบทำอะไรด้วยตัวเองจนเธอเกรงว่าสักวันนึงจะติดเป็นนิสัย


“พี่คริสเก่งจะตายไป ก็ตอนท้องแม่ไม่แบ่งสมองมาให้อี้บ้างหนิ” อี้ชิงคีบติ่มซำในซึ้งไม้ไผ่เข้าปากพร้อมกับทำหน้าตากวนประสาทเถียงคำไม่ตกฟากทั้งๆที่ปากก็ยังเคี้ยวอาหารไม่หยุด


“นายหนะเงียบไปเลยอี้ชิง นี่ครั้งสุดท้ายแล้วนะที่พี่จะทำการบ้านให้” เด็กหนุ่มตัวสูงพูดเสียงเขียวพรางปลายตาไปยังน้องชายฝาแฝดที่นั่งกินอาหารอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรอยู่


“ลูกคนนี้หนิ! พูดให้มันจริงเถอะคริส แม่เห็นครั้งสุดท้ายมาหลายรอบแล้ว” จินเป่าใช้ตะเกียบที่เพิ่งแกะใหม่คีบลงไปบนหลังมืออี้ชิงแทนการหยิกด้วยความหมันไส้ที่มีพี่ชายคอยให้ท้ายตลอดจนเสียนิสัย


 “โอ๊ะ! โอเคครับ คุณพี่คริสสุดหล่อ”  อี้ชิงรีบชักมือกลับเบ้หน้าเจ็บปวดก่อนจะตักข้าวเข้าปากคำโตแล้วเคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อยโดยที่ไม่สะทกสะท้านกับสายตาของผู้เป็นแม่และพี่ชายฝาแฝดเลยสักนิด แถมยังจ้วงกินแต่กับข้าวที่ตัวเองชอบไม่ยั้งมือ


“คริส เรื่องที่พ่อจะให้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศว่าไงลูก พ่อเค้าให้มาเร่งคำตอบแล้วนะ”


“โถ่ม๊า...อี้บอกแล้วไงว่าพี่คริสไม่ไปหรอก”  อี้ชิงพองแก้มอย่างน่ารัก แสดงอาการไม่ชอบใจออกมาเมื่อแม่เอาเรื่องเรียนต่อต่างประเทศของคริสมาพูดอีกแล้ว เขาไม่ชอบให้แม่พูดเรื่องนี้บนโต๊อาหารเลยจริงๆเพราะมันทำให้อี้ชิงกินข้าวไม่อร่อยแถมยังทำให้คริสลำบากใจด้วยทั้งๆที่เขาปฏิเสธเรื่องนี้แทนพี่ชายไปแล้วหลายรอบ


“ไม่รู้ครับ ขอเวลาผมหน่อย”  คริสเงยหน้าขึ้นตอบแบบขอไปที เรื่องแบบนี้จะมาเร่งกันง่ายๆไม่ได้ แล้วเขาก็ไม่อยากจะสนทนาในหัวข้อนี้เท่าไหร่นักต่อหน้าน้องชาย


“อืม ยังไงก็คิดให้ดีนะลูก พ่อเค้าก็ต้องการคนคอยช่วยเหลือ” จินเป่าว่าด้วยสีหน้าเป็นกังวล ที่จริงเธอก็ไม่ได้ห่วงสามีเท่าไหร่เพราะจงอิงเพิ่งจะอายุ40กว่า แต่เธอรู้สึกเห็นใจลูกชายคนโตที่ต้องเลือกระหว่างน้องและพ่อ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแยกฝาแฝดที่ผูกพันกันมากกว่าพี่น้องออกจากกัน คริสเองก็คงลำบากใจไม่น้อยแต่ในอนาคตข้างหน้าคริสจะต้องเป็นผู้ดูแลบริษัทของครอบครัวอู๋แทนพ่อ การไปเรียนเมืองนอกไปศึกษางานอยู่กับพ่อที่นั่นถือเป็นเรื่องดีมาก


“ไม่มีทางอ่ะ อี้ไม่ให้ไปหรอก” อี้ชิงยังไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรเพราะเขาเชื่อใจคริส เชื่อว่าคริสจะไม่มีทางทิ้งอี้ชิงให้อยู่คนเดียวที่นี่แน่


“นี่! เงียบไปเลยเจ้าเด็กดื้อ!! จินเป่าขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับหันมาว่าลูกชายคนเล็กที่พูดแทรกขึ้นมาในขณะที่เธอกำลังคุยธุระอยู่ จินเป่าไม่เข้าใจว่าทำไมอี้ชิงถึงได้ต่างจากคริสนัก นอกจากจะไม่มีสาระแล้วก็ยังทำตัวไม่รู้จักโตเอาแต่ใจเป็นเด็กๆตลอด แล้วยิ่งมีพี่ชายคอยให้ท้ายปกป้องจนแม้แต่เธอเองก็แทบจะแตะไม่ได้แบบนี้อี้ชิงก็ยิ่งได้ใจใหญ่


“ง่ะ.. พี่คริสไปกันเถอะ ม๊าดุอี้อีกแล้วอ่ะ” จาง อี้ชิงเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจก่อนจะวางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะไปดื้อๆ เขาต้องการจะบอกเป็นทางอ้อมให้แม่รู้ว่าอี้ชิงคนนี้กำลังงอนที่โดนดุมาตลอดตั้งแต่เช้า



“ถ้าไปนอนกลิ้งบนเตียงจนเสื้อยับอีกแม่จะตีแกจริงๆนะอี้ชิง!!!
.

.

.

.

.

.

.

.


“ผมไปแล้วนะครับ”  คริสเป็นเพียงคนเดียวที่บอกลาคุณแม่ในขณะที่คนตัวเล็กยืนกัดปากแน่นไม่พูดไม่จา ขอบตาเรียวรีทั้งสองข้างช้ำแดงระเรื่ออย่างคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มามาดๆแถมยังไม่กล่าวลากับมารดาที่อุตส่าเดินมาส่งถึงหน้าบ้านอีกด้วย


“จ๊ะ ไปดีๆนะลูก  อี้... อี้ชิง... แม่บอกแล้วนะว่าถ้าแกทำเสื้อยับแม่จะตีแกจริงๆ ไม่ต้องมาโกรธแม่เลย” คุณนายอู๋พูดเสียงอ่อยกับท่าทีของลูกชายคนเล็ก ทั้งๆที่เธอบอกไปแล้วว่าห้ามทำเสื้อยับก่อนไปโรงเรียนแต่อี้ชิงก็ยังไปนอนกลิ้งบนโซฟาจนเสื้อผ้ายับหมด พอเธอตีเข้าหน่อยก็นั่งร้องไห้กระซิกๆเกาะพี่ชายเรียกคะแนนความสงสารไม่หยุด

ให้มันได้แบบนี้สิ...




“เฮ้อ.. ผมไปก่อนนะครับ จะสายแล้ว” คริสไม่อยากยืดเยื้อเวลา เขาไม่รอช้าฉุดร่างเล็กให้เดินไปตามถนนเพื่อที่จะไปยังป้ายรถเมล์ที่รอประจำทันทีโดยที่ไม่สนใจท่าทีอิดออดของร่างบาง
แม่เป็นแบบนี้ประจำคือชอบตีน้องตลอดแต่จะโทษแม่ก็ไม่ได้เพราะอี้ชิงดื้อเอง ไม่ใช่ว่าแม่ลำเอียงรักแต่คริสหรือว่าอะไร จริงๆแล้วแม่รักอี้ชิงมากกว่าเขาด้วยซ้ำแต่เพราะนิสัย ซุกซน ชั่งเถียง ไม่ชอบฟังคำสั่งทำให้คนที่เนี้ยบจัดอย่างแม่ไม่พอใจและลงโทษอยู่บ่อยๆ...

อายุอานามก็18แล้วถ้าถามว่าทำไมแม่เขายังไม่เลิกตีลูกอีกมันก็ตอบไม่ได้ เพราะจริงๆแม่เลิกตีเขาไปตั้งแต่9ขวบแล้วเหลือแต่อี้ชิงนี่แหละที่ไม่รู้จักโตพูดไม่รู้เรื่อง ดื้อรั้นไปหมดจนต้องโดนไม้แขวนหวดเป็นประจำ...

อี้ชิงยอมเดินตามพี่ชายไปติดๆในลักษณะกึ่งลากกึ่งจูง มือเล็กๆยกขึ้นปาดน้ำมูกตัวเองปืดๆอย่างไม่กลัวว่ามันจะเลอะ จนสุดท้ายก็ฉุดลากฉุดดึงกันมาจนถึงป้ายรถเมลล์จนได้


“คันต่อไปอีกสิบห้านาที รอหน่อยแล้วกัน ไหนพี่ดูแขนสิ” คริสหันไปพูดกับอี้ชิงพร้อมกับดึงแขนเล็กๆที่มีรอยไม้แขวนเสื้อแดงๆพาดอยู่ขึ้นมาดู เนื้อเนียนบวมแดงนิดๆเป็นรอยพาดยาวแต่ไม่ได้รุนแรงมากนักและไม่นานก็คงหาย


“แม่ตีอี้อีกแล้วอะ” คนตัวเล็กเบ้ปากก่อนจะเอนตัวเกาะแขนพี่ชายสุดรักเอาไว้อย่างออดอ้อน ในใจก็นึกว่าทำไมแม่ไม่ใจดีอย่างพี่ชายของเขาบ้าง ทำอะไรนิดๆหน่อยๆก็โกรธก็ตีไม่เหมือนคริสที่ไม่เคยว่าเขาเลยสักครั้ง


“ก็นายดื้อเอง คราวหลังก็อย่าดื้อ” คริสโยกหัวอี้ชิงโครงไปมาเหมือนที่ชอบทำก่อนจะกดริมฝีปากลงบนเรือนผมนุ่มอย่างปลอบโยน ถึงจะขี้งอแงไปหน่อยแต่อี้ชิงก็ไม่เคยโกรธแม่นานสักครั้งเดียว แม่เองก็เหมือนกันถ้าลูกชายคนเล็กงอนจนไม่ยอมลงมากินข้าวหละก็จะกังวลไม่สบายใจไปทั้งวันเลย


“งื้อออ พี่คริส..” อยู่ๆอี้ชิงก็เอนตัวมากอดคริสเอาไว้แน่นทั้งยังเอาหน้าถูไถไปมากับบ่ากว้างด้วยสกิลความอ้อนระดับสูงสุดจนคริสเองอดยิ้มออกมาไม่ได้กับนิสัยเด็กๆของน้องชาย


“อะไรอีกหละ” คริสดันคนตัวเล็กให้ออกห่างตนเองอย่างรู้ทัน ถ้ามาทำท่าทางแบบนี้ คงไม่พ้นอยากจะได้อะไรแน่ๆ


“ป่าว.. อี้ไม่ได้จะขออะไรซักหน่ย อี้แค่อยากถามอะ”


“อะไรหละ”


“ทำไมพี่หล่อกว่าอี้อะ เรียนเก่งกว่าด้วย แถมยังสูงกว่า แล้วก็นิสัยดีกว่า”



“................” คริสได้แต่นิ่งฟังคำถามของแฝดผู้เป็นน้องอย่างไม่รู้จะว่าอะไรดี เรื่องหล่อกว่าจริงๆแล้วต้องบอกว่าเขากับอี้ชิงหน้าตาพอๆกันแต่ของคนตัวเล็กติดออกไปทางแม่คือสวยเหมือนผู้หญิงมากกว่า อีกอย่างคือคริสตัดผมสั้นเลยดูมาดแมนสมเป็นผู้ชายรวมทั้งบุคคลิกจากภายในด้วย ส่วนเรื่องเรียนอันนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจล้วนๆเพราะคริสเองก็ไม่ได้ฉลาดมาตั้งแต่เกิดแต่เขาเป็นคนตั้งใจเรียนมาตั้งแต่เด็กซึ่งต่างจากอี้ชิงที่เอาแต่เล่นขี้ ขี้เล่นไม่เป็นสัปรดอะไรสักอย่าง

ส่วนความสูงที่มากกว่านี่ก็เพราะคริสเล่นกีฬาทั่วไปแล้วก็เล่นบาสด้วย แต่เรื่องนิสัยอันนี้คริสสารภาพตามตรงว่าอธิบายไม่ได้เพราะเขาทั้งคู่ถูกเลี้ยงมาเหมือนๆกันทุกอย่าง ถ้าจะให้หาเหตุผลมาอ้างคริสก็เชื่อว่าคงเป็นเพราะพระเจ้าต้องการให้อี้ชิงเป็นส่วนที่ขาดหายของเขา เลยทำให้เราทั้งคู่นิสัยไม่เหมือนกัน...



“เราเกิดวันเดียวกันไม่ใช่หรอ ทำไมพี่ดีกว่าอี้ทุกอย่างเลยอ่ะ”


“นายปฏิสนธิก่อนพี่37วัน”


“อี้ก็น่าจะฉลาดกว่าไม่ใช่อ่อ” ตาโตใสแจ๋วจ้องลึกลงไปไหนดวงตาสีนิลอย่างซุกซนด้วยความอยากรู้อยากเห็น อี้ชิงรู้ว่าการถามคำถามแบบนี้กับคริสไม่ทำให้เขาฉลาดขึ้นแต่อี้ชิงหยุดนิสัยชอบพูดอะไรไร้สาระของตัวเองไม่ได้


“มันไม่เกี่ยวกันสักหน่อย” คริสตอบด้วยสีหน้าติดจะเอือมละอากับคำถามเดิมๆของอี้ชิง ทั้งชีวิตคริสได้รับคำถามทำนองนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ได้ยินมาเป็นสิบๆปีและเขาก็ตอบเหมือนเดิมทุกครั้งจนไม่รู้จะพูดยังไง


“ทำไมอี้ไม่ฉลาดเหมือนพี่นะ”


ก็นายไม่ตั้งใจเรียนหนะสิคริสอยากจะตอบออกไปดังๆถ้าติดว่ากลัวจะไปขัดจังหวะเพ้อฝันของอี้ชิงซะก่อน


“แล้วไม่ดีหรอไง นายก็ให้พี่ทำการบ้านให้ไง ถ้าอยากฉลาดก็ต้องทำเองนะ” คริสเลือกที่จะตอบคำตอบที่จะทำให้อี้ชิงสะบายใจมากกว่าตอบแบบกวนประสาทหาเรื่อง


“อี้ยอมโง่ตลอดชาติ!” คนตัวเล็กตอบกลับอย่างทันควันโดยที่คริสยังพูดไม่ทันขาดคำด้วยซ้ำ ถึงเขาจะโง่แต่ก็มีคริสคอยอยู่ช่วยตลอดไม่ว่าจะตอนสอบหรือตอนไหนอี้ชิงก็จะทำคะแนนได้พอถูๆถากๆไปจนผ่านจนได้เพราะมีคริสคอยติวให้


“หึๆ นั่น รถมาแล้ว ไปเร็ว” คริสหัวเราะในลำคอกับความขี้เกียจมักง่ายของน้องชาย จริงๆอี้ชิงก็ไม่ได้ไม่ฉลาดขนาดนั้น แต่แค่สอบตกบ่อยๆในวิชายากๆอย่างพวกเคมีแถมยังไม่ขยันอ่านหนังสือจนบางทีก็เรียนามเพื่อนไม่ค่อยทัน



มันอาจจะดูแปลกไปหน่อยกับการกระทำของเด็กหนุ่มสองคนที่เกือบจะเรียกได้ว่าพรอดรักกันอย่างเปิดเผย แต่ใครจะเข้าใจถึงความรักของพวกเขาสองคนที่มีให้กันมาตลอด18ปี
ความรู้สึกที่มากกว่าพี่น้อง มากกว่าความรัก มากกว่าผูกพันธ์ มากกว่าอะไรทั้งหมดบนโลก ความรู้สึกของสายสัมพันที่เรียกว่า “ฝาแฝด”

ถึงใข่จะเป็นไข่คนละใบแต่ก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ในท้อง ตลอดชีวิตที่พัวพันกันไม่ห่าง ไม่เคยมีใครคนใดคนหนึ่งหายไป ไม่เคยมีใครป่วยโดยที่อีกคนอยู่สุขสบายดี ไม่เคยมีใครหัวเราะตอนที่อีกคนร้องไห้ ถึงจะไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้..


นี่และความรักของเรา..  ของ อู๋ อี้ฟาน กับ จาง อี้ชิง



คริสใช้นามสกุลพ่อและอี้ชิงใช้นามสกุลแม่ คริสชอบกีฬา อี้ชิงชอบเล่นหิมะ คริสชอบปั่นจักรยาน อี้ชิงชอบซ้อนจักรยาน คริสเรียนเก่ง อี้ชิงจึงชอบให้คริสทำการบ้านให้ คริสมีสีผิวออกแทน อี้ชิงเลยอวดว่าตัวเองผิวขาว
อะไรก็ตามที่ใครคนใดคนหนึ่งไม่มี อีกคนมักจะมีมันเสมอ ถึงจะเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ตาม ถ้าอี้ชิงอิจฉา คริสก็จะให้ ถ้าอี้ชิงไม่ต้องการคริสจะรับมันไว้ ถ้าอี้ชิงไม่อยากป่วยเขาก็จะป่วยแทน ถ้าอี้เชิงสียใจคริสก็พร้อมจะแบกรับความเจ็บปวดทั้งหมดของอี้ชิงเอาไว้


เหมือนกับอี้ชิงที่ไม่เคยห่างคริสไปไหน ไม่ว่าสถานะการณ์ใดก็ตาม คริสจะมีอี้ชิงอยู่ข้างๆเสมอ....








+







 
“อี้...ตั้งใจเรียนนะ เข้าใจหรือป่าว นี่การบ้าน เอาไปส่งครูซะ”



“อื้มมมม”

เมื่อถึงหน้าห้องเรียนคริสสั่งกับน้องชายสุดรักของตัวเองอย่างกำชับ ก่อนจะเดินไปนั่งยังที่ประจำซึ่งอาจารย์กำลังจะเข้ามาสอนในไม่ช้า ส่วนอี้ชิงก็เดินไปส่งการบ้านที่หลังห้องแล้วนั่งประจำที่ตัวเองคือโต๊ะหลังสุดติดหน้าต่างแถวเดียวกับคริส
แล้วเมื่อนั่งประจำที่แล้วอี้ชิงก็ไม่รอช้าที่จะหยิบเอาเกมส์ทามาก๊อตจิลูกไก่ขึ้นมากดทันที


“ลูกจ๋า ฉีดยาหน่อยนะจะได้โตไวๆ” คนตัวเล็กพึมพัมไปพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โดยที่ไม่สนใจสายตาน่ากลัวของพี่ชายจ้องมองมาเลยสักนิด หรือต่อให้เห็นเขาก็ไม่เลิกเล่นอยู่ดี
ทั้งๆที่เมื่อกี้สัญญากันไปแหมบๆอยู่แท้ๆว่าจะตั้งใจเรียนแต่ละสายตาแค่หน่อยเดียวก็ออกนอกลู่นอกทางเสียแล้ว คริสละสายตาออกจากร่างเล็กเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์เข้าห้องมาพอดี ยังไงซะเขาก็ห้ามอะไรไม่ได้ ถึงพูดก็ไม่ฟัง คงทำได้แค่อวยพรขอให้น้องชายโชคดีไม่ถูกเรียกออกไปยืนหน้าห้องเสียก่อนที่ลูกไก่จะโต



“เอาหละ วันนี้ครูมีประชุมสหกรณ์ เอารายงานที่สั่งไปเมื่ออาทิตย์ก่อนขึ้นมาทำเลยนะ อนุญาตให้นำออกไปทำข้างนอกได้ จับกลุ่มกันทำก็ได้ หัวหน้าห้องฝากด้วย” หญิงชราเดินเข้ามากล่าวอย่างรีบร้อนก่อนจะนำกระเป๋าถือไปวางไว้บนโต๊ะประจำแล้วเดินออกไปนอกห้องทันทีดยที่หัวหน้าไม่ทันได้ขานรับ

“ครับ”


ทันทีที่หญิงชราเดินพ้นออกไปจากบริเวญหน้าประตูห้อง เพื่อนๆในห้องเรียนเฮลั่นกันยกใหญ่ด้วยความดีใจที่ไม่ต้องเรียนวิชาวิทยาศาศตร์ถึงสองคาบติด แถมคาบสุดท้ายก็เป็นของอาจารย์คนเดิมอีกด้วยเลยไม่ต้องเรียนต่อกันเลยในภาคเช้า

เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมชั้นหลายๆคนเริ่มหยิบอุปกรณ์ออกไปหน้าห้องอย่างรวดเร็วและบางคนเริ่มจับกลุ่มกัน แล้ว คริสเองก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปหาอี้ชิงที่นั่งอยู่กับที่ไม่ยอมลุกไปไหน



“เมื่อกี้อาจารย์สั่งอะไรได้ยินหรือป่าว” คริสเดินไปยืนค้ำหัวน้องชายตัวเล็กที่ยังก้มหน้าก้มตากดเกมส์ดิจิตอลโดยที่ไม่สนใจว่าใครจะทำอะไร


“อื้ม รู้แล้ว อี้ไม่ได้เอารายงานมา” อี้ชิงไม่แม้แต่จะสนใจเงยหน้าขึ้นมามองพี่ชายด้วยซ้ำ แค่รายงานวิทยาศาสตร์เขาคัดลอกข้อความจากวิกิพีเดียมาแปะลงเวิร์ดแล้วปริ้นท์ก็เสร็จแล้ว ส่วนอันไหนที่ต้องเขียนก็เอาไว้ทำช่วงโค้งสุดท้ายก่อนส่งงานก็ยังทัน...ให้คริสช่วยแป้บเดียวก็เสร็จ...


“...........................”



“ทำไมหรอ อี้ช่วยพี่คริสทำก็ได้นะ”


“.........................”


“.........................”


“หยุดเล่นทามาก๊อตสักที”



“ทำไมอะ ก็ไม่มีอะไรทำแล้วนี่”


“งั้นจะปล่อยให้อยู่ในห้องคนเดียวนะ”



“โอเค บู้ววววว” อี้ชิงทำปากจู๋ ส่งเสียงยานครางออกมาอย่างขัดใจ ยอมล้วงเอารายงานวิทยาศาสตร์ในกระเป๋าออกมาวางก่อนจะยื่นเกมส์ดิจิตอลให้กับพี่ชายเพื่อที่จะคนตัวสูงจะได้ยึดมันไว้เป็นตัวประกันจนกว่าเขาจะทำงานเสร็จ


“ทำไปเลยนะ จะนั่งดูอยู่ตรงนี้แหละ” คริสลากเก้าอี้จากที่นั่งใกล้ๆมานั่งฝั่งตรงข้ามกับคนตัวเล็กที่ยังอิดออดไม่ยอมหยิบเอากระเป๋าปากกาออกมาสักที
อี้ชิงทำท่าทีเบื่อหน่ายบ่นมุบมิบๆไม่หยุด ลีลาทำเป็นหยิบนู่นหยิบนี่ไม่ยอมตั้งใจทำงานเต็มที่เสียที แม้มือจะยังคงคัดตัวอักษรจากสมุดอย่างต่อเนื่อง


“นี่..”


“หื้ม.. อะไร”


“ที่พ่อบอกอะ พี่คริสโทรไปยกเลิกยัง” อี้ชิงตวัดปากกาคัดรายงานด้วยท่าทางสบายๆพร้อมกับคำถามที่เหมือนจะไม่ต้องการคำตอบ


“ย...ยัง ทำไม”  คริสอึกอักเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่เต็มคำนัก เขาไม่อยากพูดเรื่องนี้เท่าไหร่เพราะคราวนี้คริสไม่มั่นใจจริงๆว่าเขาจะเลือกอยู่กับอี้ชิงเหมือนทุกที่ครั้งผลัดมาหรือป่าว


“นี่วันจันทร์แล้วนะ... พ่อบอกว่าจะส่งตั๋วเครื่องบินมาให้วันพฤหัสพี่คริสรีบโทรไปสิ เดี๋ยวพ่อก็เสียค่าตั๋วฟรีหรอก” ดูเหมือนอี้ชิงจะมั่นใจกับคำตอบของตัวเองเหลือเกิน ทั้งๆที่ตัวคริสเองยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเขาจะเลือกอะไรและท่าทางมั่นใจในคำตอบของอี้ชิงก็ทำให้คริสลำบากใจที่จะเลือก


“ไม่ต้องรีบหรอกน่า อีกตั้งสองสามวัน”


“อี้รู้สึกไม่ค่อยดีอะ อี้อยากให้พี่คริสโทรไปยกเลิกเลย”


“............................” คริสเงียบไม่ตอบอะไรถึงแม้หัวใจจะเต้นรัว ไม่มีอะไรสามารถขวางกลั้นความรู้สึกของพวกเขาที่เชื่อมโยงถึงกันได้เลยจริงๆ อี้ชิงเองคงรู้สึกได้ถึงความไม่มั่นคงของคริสแต่ก็เลืกที่จะไม่พูดออกมาแล้วใช้ความเชื่อใจโน้มน้าวแทน มันทำให้คริสรู้สึกเจ็บปวด....


“อี้จะได้สบายใจ” ว่าแล้วก็ยิ้มแป้นออกมาจนเห็นลักยิ้มเหมือนที่ชอบทำตอนเด็กๆเวลาที่มีความสุข เขาอยากให้คริสรู้ว่าเขาเชื่อใจคริสมากๆเพื่อที่คนตัวสูงจะได้เลือกที่จะอยู่กับเขา การที่พูดจามั่นใจขนาดนั้นไม่ใช่ว่าอี้ชิงรู้ว่าคริสเลือกอะไรแต่อี้ชิงกำลังรู้สึกไม่มั่นคง...และเขาแค่อยากให้คริสรู้ว่าเขาเชื่อใจ...



“อืม”


คริสไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่านั้น เรื่องนี้รบกวนหัวสมองเขามาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เอาแต่คิดอะไรซ้ำไปซ้ำมาเรียกได้ว่าซ้ำซากแต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้สักที จริงๆแล้วพ่อเขาก็ไม่ได้แก่มากมาย แค่สี่สิบต้นๆ แต่ถ้ามีคนดูและบ้างก็ดี พ่อจะได้ไม่เหงาแล้วก็จะได้มีคนช่วยงาน

แต่ถ้าเขาไปแล้วอี้ชิงหละ? คริสไม่ได้คิดเป็นห่วงว่าอี้ชิงจะอยู่ดีกินดียังไง แต่เขานึกไม่ออกเลยว่าถ้าครึ่งชีวิตของอี้ชิงหายไปคนตัวเล็กจะมีสภาพยังไง.. หรือบางทีอี้ชิงอาจจะเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตนเอง?

คำว่าฝาแฝดมีความพิศวงมากมายที่พี่น้องทั่วไปสัมผัสไม่ได้ ถึงใครจะไม่เชื่อและมองว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อแต่คนที่เคยสัมผัสมันมาอย่างเขาเชื่อสนิทใจแน่นอน...การแบ่งปันพลังงานชีวิตเก้อหนุนเพื่อให้อีกฝ่ายอยู่รอด...การรับรู้ความรู้สึกของกันและกันผ่านสายใยที่มองไม่เห็น...การแบ่งเบาความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ...พลังงานชีวิตที่ใช้ควบคู่กันเป็นวงจร
สิ่งมหัษจรรย์ที่คนทั่วไปไม่เคยได้สัมผัส...

ยิ่งมองใบหน้าหวานยามยิ้มแย้มแล้วก็แทบตัดใจไม่ลงและก็ยังคงผลัดเวลาให้คำตอบไปเรื่อยๆจนเหลือแค่ไม่กี่วันที่จะถึงนี้ ที่เขาต้องเลือกสักอย่าง ระหว่างชีวิตและหน้าที่...




   




 



พี่คริสก่อนกลับบ้าน พาอี้ไปแวะกินไอติมก่อนนะ” วันพุธหลังเวลาเลิกเรียนเวลาบ่ายสามโมง หลังจากที่อี้ชิงเก็บกระเป๋านักเรียนเสร็จเรียบร้อยเขาก็ไม่รอช้าที่จะเดินไปอ้อนกับพี่ชายฝาแฝดให้พาไปกินไอศครีมของชอบที่ร้านประจำ


“รีบกลับบ้านนะอี้ วันนี้พี่ต้องทำงานก่อน” คริสสะพายกระเป๋าเข้ากับไหล่ วันนี้เขาคงพาอี้ชิงไปเลี้ยงไม่ได้เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องทำในเย็นนี้และมันก็ยุ่งมากเกินกว่าจะปลีกตัวไปไหน คริสมีเรื่องที่ต้องคุยกับและธุระที่ต้องจัดการมากมายในเวลาที่มีจำกัด


“โถ่ งานอะไรสำคัญกว่าอี้อะ” คนตัวเล็กเอนหัวพิงไหล่หนาอย่างงอนๆแถมยังรัดท่อนแขนพี่ชายเอาไว้แน่นและแกว่งสบัดไปมาเหมือนเด็กๆ


“น่า เดี๋ยวจะพามากินวันหลังแล้วกัน” คริสยกมือขึ้นยีหัน้องชายอย่างรักใครพร้อมกับให้สัญญาว่าจะพามาเลี้ยงในวันหลังโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีโอกาสได้ทำตามสัญญาเมื่อไหร่


“ก็ได้อะ แต่พี่คริสต้องสัญญานะ” อี้ชิงยกนิ้วก้อยยื่นไปตรงหน้าพี่ชายเพื่อให้คริสเอาก้อยมาเกี่ยวแต่คนตัวสูงไม่ยอมทำแถมยังใช้ปากงับนิ้วเล็กๆนั้นอยางหยอกล้อ


“อื้ม รู้แล้วน่า”


“เย้!! พี่สัญญาแล้วนะ!” อี้ชิงตะโกนออกมาเสียงดังลั่นทั้งยังกระโดดแสดงท่าทางดีใจจนโอเวอร์ วันนี้เป็นวันพุธ...พรุ่งนี้วันพฤหัส... บางทีอี้ชิงอาจจะไม่ได้อยากกินไอศครีมเท่าไหร่ แต่เขากำลังรู้สึกดีใจกับคำสัญญาที่ว่าคริสจะพามาเลี้ยงของหวานในวันหลัง...


วันหลังที่อาจจะเป็นหลังวันพฤหัสที่พ่อจะส่งตั๋วเครื่องบินมาให้...
















+



 











เวลาสองทุ่มกว่าๆคริสยังสาลวนกับเอกสารนู่นนี่มากมาย เขาลื้อลิ้นชักครั้งแล้วครั้งเล่าคัดเอาเอกสารสำคัญที่อาจจำป็นต้องใช้จัดใส่ซองแฟ้มอย่างเป็นระเบียบ พอคิดว่าได้ของที่ต้องการครบแล้วคริสก็หันไปจัดระเบียบกองเสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่เขาลื้อออกมาจากตู้ต่อทันที




ปัง!

เสียงประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกดังลั่น เด็กหนุ่มตัวสูงที่กำลังจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าหันกลับไปมองด้านหลังอย่างตกใจ  คริสกำลังมองอี้ชิงที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนยืนหอบแฮ่กอยู่หน้าห้องด้วยความที่บอกไม่ถูก คนตัวเล็กกำลังยืนสะอึกสะอื้นร้องไห้โซเซไปมาราวกับคนไม่มีแรงก่อนจะพุ่งตัวเข้ามากอดหมับเข้าที่เอวเขาแน่น
คริสรู้สึกอยากจะหายตัวไปไกลๆเสียเดี๋ยวนี้ เขาไม่อยากอยู่ทรมานคนตัวเล็กให้เสียใจไปมากกว่านี้ คริสไม่กล้าปฏิเสธอะไรทั้งนั้น ถ้าอี้ชิงอยากจะถามอะไรวันนี้เขาจะตอบมันทั้งหมด


“ฮรื่อ! ทำไมพี่คริสทำแบบนี้ ฮึก ทำไมพี่ไม่บอกอี้ ฮรื่อ...”  แขนเล็กรัดเข้าที่เอวหนาแน่น อี้ชิงร้องไห้ฟูมฟายน้ำหูน้ำตาไหลสะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ รู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกควักออกมาจากอกทั้งเป็นเมื่อทุกอย่างที่คิดเข้าข้างตัวเองเอาไว้ผิดพลาด...


“อี้เป็นอะไร ใจเย็นๆ” คริสกอดน้องชายเอาไว้ด้วยลำแขนแข็งแรงทั้งสองข้างก่อนจะก้มลงไปจูบเรือนผมอย่างปลอบโยน ทำเป็นพูดจาเหมือนไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้อี้ชิงร้องห่มร้องไห้ขนาดนี้

“ฮึก..นี่ส่งมาที่บ้าน ฮรื่อ...ทำไม” อี้ชิงเอาซองเอกสารสีน้ำตาลยับเยินในมือชูให้คริสดูก่อนที่คนตัวสูงจะรับมันด้วยมือข้างเดียวแล้วใช้ฟันฉีกปากซองออก ดวงตาสีนิลสบกับนัยต์ตาสีน้ำตาลอ่อนอย่างกังวลใจก่อนที่เอกสารข้างในจะถูกดึงออก


พาสสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน ใบลาออกจากโรงเรียนมัธยม...ทุกอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และ ชัดเจน...คริสไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร...



“อี้ชิง..”


“ฮึก พี่คริสไม่ได้ทำใช่มั้ย อี้คุยกับป๊าได้นะ อึก ฮะ..ฮรื่อ” อี้ชิงยังงอแงและไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าพ่อจะไม่ทำอะไรแบบมัดมือชกแน่ถ้าคริสไม่เป็นฝ่ายตอบตกลงแต่เขาก็ไม่อยากยอมรับความจริงแม้ในวินาทีสุดท้ายและก็ไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้น


“ไม่..อี้..” คริสลุกยืนขึ้นพร้อมกับประคองร่างอีกฝ่ายให้นั่งลงกับเตียงโดยที่ดึงอี้ชิงให้หันหน้านั่งคร่อมตักเขาในลักษณะหันหน้าเข้าหากัน ก่อนที่จะยกฝ่ามือขึ้นเชยใบหน้าหวานให้ขึ้นมาสบตากับตน


“ฮึก...ท...ทำไมหละ..อึก..ทำไมพี่ไม่รักอี้...ฮรื่อ..” อี้ชิงยังร้องไห้ไม่หยุดและไม่มีทีท่าว่าจะรับฟังอะไรทั้งนั้น หัวใจของคริสหนักอึ้งไปหมด เขาเองก็เจ็บปวดมากไม่ต่างกันเพียงแค่หัวใจของคริสเข้มแข็งและรองรับความเจ็บปวดได้มากกว่า ถ้าเป็นไปได้คริสอยากจะดูดซึมเอาความเสียใจทั้งหมดของอี้ชิงมาไว้ที่เขา


“ฟังพี่ก่อนสิคนเก่ง หยุดร้องก่อน”  คริสกดริมฝีปากลงบนหน้าผากน้องชายเบาๆเหมือนที่ชอบทำเวลาที่อี้ชิงร้องไห้ตอนเด็กๆ เขารู้ว่าตอนนี้อี้ชิงกำลังเสียใจขนาดไหนแต่ก็ยังเลือกที่จะทำมัน


“งื้อ.. ฮึก” ตนจัวเล็กครางตอบรับในลำคอเมื่อได้รับจูบปลอบโยนแม้จะยังเม้มปากกลั้นสะอื้นแน่น  เขาหยุดน้ำตาตัวเองไม่ได้เพราะความเสียใจมันมีมากเกินไป อี้ชิงกำลังทรมานจนใจจะขาดอยู่แล้ว..


“พี่ต้องไปนะ..” คริสยกมือขึ้นจับไรผมที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาไปทัดที่ใบหูเล็กก่อนจะขยับใบหน้าเข้าไปจุ้บที่ริมฝีปากอิ่มเบาๆเป็นการปลอบใจ คริสไม่รู้ว่าเขาควรจะทำยังไงให้อี้ชิงใจเย็นลงและเข้าใจในเหตุผลมากกว่า


“ไม่เอา..” อี้ชิงตอบกลับทันทีอย่างเอาแต่ใจ เขาไม่ต้องการจะจากกับพี่ชายไปไหนเด็ดขาดไม่ว่าอย่างไรก็ตาม


“ไม่ได้อี้..”


“ฮรื่ออ..มันเร็วไป..ฮรื่อ..ไม่เอา..ฮ..ฮึก” คนตัวเล็กซบตัวกอดพี่ชายสุดที่รักเอาไว้แน่น ศีษะทุยสบัดไปมาในอ้อมกอด ปล่อยให้น้ำตามากมายไหลออกมาจนหัวไหล่ของคริสปียกแฉะ แถมยังสอื้นฮักจนร่างกายสั่นไหว


“อี้..ต้องไปพรุ่งนี้แล้วนะ”


“ฮึกก..ฮ..ฮรื่อ...อึก” เสียงร้องไห้ของอี้ชิงยังดังไม่หยุด หยาดน้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนกับน้ำกรดที่ราดรดลงบนหัวใจของอี้ฟานและกัดกร่อนจนรู้สึกเจ็บปวด

คริสถอนหายใจยาวพรืดอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร มันเหมือนกับที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด แต่ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว พ่อเขาทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนเรียบร้อย ไหนจะอะไรอีกหลายๆอย่างที่แก้ไขไม่ทันหรือสรุปง่ายๆคือยังไงก็ยกเลิกไม่ได้ จะช้าหรือเร็วคริสก็ต้องไปอยู่ดี ตอนแรกเขากะว่าจะไม่ให้อี้ชิงรู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำแล้วค่อยโทรมาบอกตอนอยู่ที่ต่างประเทศแล้ว แต่คนตัวเล็กดันไปเจอจดหมายในตู้ไปรษณีย์ซะก่อนถึงทำให้เรื่องแตกขึ้นมา

คริสกำลังทำร้ายอี้ชิงอยู่ใช่มั้ย...?




ทำไมคริสจะไม่รู้ว่าอี้ชิงเจ็บปวดมากแค่ไหน.. ก็ในเมื่อความรู้สึกของพวกเขาเชื่อมโยงถึงกัน




คริสรับรู้ได้..




“อี้ไม่ให้พี่คริสไปนะ..อึก” อี้ชิงพูดเสีงอู้อี้ทั้งที่ใบหน้ายังซบอยู่ที่ไหล่หนา แขนเล็กยกขึ้นคล้องคอที่ชายเอาไว้แน่นหวังว่าคริสจะเห็นใจน้องชายคนนี้แล้วเลือกที่จะอยู่กับเขา


“ไม่ได้หรอกอี้ พรุ่งนี้ไปส่งพี่นะ”  คริสใช้สองมือประคองใบหน้าของอี้ชิงให้เงยหน้าขึ้นมองตาเขา ส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้กับร่างเล็กที่นั่งอยู่บนตักพร้อมกับใช้หัวแม่มือปาดคราบน้ำตาจากแก้มใสอย่างอ่อนโยน


“ทำไมทิ้งอี้.. อี้เรียนไม่เก่งหรอ ฮะ..อึก” อี้ชิงไม่เข้าใจว่าทำไมคริสถึงได้ไม่เลือกเขา เพราะอี้ชิงคนนี้น่ารำคาญและเป็นภาระหรือป่าว หรือเพราะว่าความรักของพวกเขามันไม่สมดุลย์กันคริสถึงได้ตัดใจและหันหลังให้ได้ง่ายกว่าอี้ชิงที่ไม่ยอมปล่อยมือแม้ในวินาทีสุดท้าย


“ไม่ใช่นะ แต่พี่ต้องไปดูแลพ่อด้วย.. นี่..” เมื่อเห็นว่าอี้ชิงเริ่มจะสงบลงคริสจึงใช้แผนต่อไปหว่านล้อมทันที เขาเขยิบตัวเยื้องไปทางหัวเตียงหยิบเอาซองพลาสติกเล็กๆที่วางอยู่ใกล้กองหนังสือมาชูให้คนตัวเล็กดูก่อนจะเทวัตถุข้างในออกมา
จี้เพชรรูปเทวดาตัวน้อยถือเคียวสะท้อนกับแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างเป็นแสงระยิบระยับแวววาว ดึงดูดความสนใจจากคนตัวเล็กได้มากทีเดียว


“อะไร..อึก” นัยต์ตาสีน้ำตาลจับจ้องวัตถุสะท้อนแสงในมือคนตัวสูงอย่างสนใจก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปจับมันเบาๆจนสัมผัสได้ถึงความเย็นจากโลหะและผิวขรุขระของจิลเวรี่เม็ดเล็กๆที่ฝังไว้ที่เคียว ท่าทางที่ดูน่ารักเหมือนกับเด็กเวลาที่เจอของน่าสนใจทำให้คริสถึงกับอมยิ้ม


“นี่ไง พี่ก็ใส่เหมือนกัน พี่ใส่ให้”  คริสว่าแล้วบรรจงใส่สร้อยเส้นเล็กบนลำคออย่างอ้อยอิง ก่อนจะจับสร้อยที่คอของตัวเองที่เป็นรูปเทวดาถือคันธนูขึ้นมาให้อี้ชิงดูว่าเขาก็ใส่เหมือนกัน มือเล็กยกขึ้นจับเข้าที่สร้อยคอของตัวเองกับสร้อยของพี่ชายอย่างสงสัย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีนิลที่กำลังจ้องมองอยู่


“สวยมากเลย อี้ชอบ” อี้ชิงไม่รู้ว่าไอ้ที่มันสะท้อนแสงวิบๆวับๆคือเพชรจริงหรือแค่คริสตัลแต่มันสวยมากจนละสายตาไม่ได้เลย ตัวนางฟ้ามีปีกลวดลายเฉียบคมดูไม่เหมือนกับสร้อยของเด็กเล่นแถมยังทำจากแสตนเลสชั้นดีอีกต่างหาก ดีไซน์ออกมาได้สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ อี้ชิงนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีเครื่องประดับที่สวยมากขนาดนี้อยู่บนโลกด้วย


“มานี่สิ จะพาไปดูอะไร”
คริสดึงอี้ชิงให้มานั่งบนเตียงอีกฝั่งที่ติดกับหน้าต่าง เขาลุกขึ้นรวบผ้าม่านขึ้นไปพาดไว้กับราวเหล็ก ก่อนจะฉุดร่างบางให้ขึ้นมานั่งบนโต๊ะที่ตั้งหันหน้าติดกับหน้าต่าง แสงจันสีเหลืองนวลอาบเข้ามาในห้องที่เปิดไฟสลัวๆวันนี้พระจันท์มีเพียงครึ่งเสี้ยวทว่ายังคงส่องแสงสว่างไม่แพ้วันอื่นๆ แต่ถึงจะสว่างมากขนาดไหนก็ไม่อาจกลบแสงจากดวงดาวเล็กๆที่ส่องประกายวิบวับในท้องฟ้าสีรัตติกาล


“อี้เห็นดาวดวงนั้นมั้ย ดวงนั้น ดวงนั้น แล้วก็ดวงนั้นด้วย” คริสชี้นิ้วไปที่ดาวที่เปล่งแสงสว่างที่สุดสี่ดวงไล่กันไปตามลำดับจากด้านขวาบนไปทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นลำดับดาว ‘Gemini’ หรือดาวคนคู่ที่เป็นสัญลักษณ์ของฝาแฝด


“งื้ออ เห็น” อี้ชิงครางรับในลำคอพร้อมกับมองตาตามปลายนิ้วที่คนตัวสูงชี้ เขาชอบดูดาวเหมือนกันแต่ไม่ค่อยรู้ข้อมูลของมันเท่าไหร่


“นั่นเรียกว่าดาวคนคู่ Gemini หมายถึงฝาแฝดไง อี้รู้ไหม...ทำไมฝาแฝดถึงมีสัมผัสพิเศษร่วมกัน เพราะความรู้สึกของคนสองคนเดินทางผ่านดวงดาวกลุ่มนั้นส่งถึงกันไง ถึงไกลแค่ไหนยังไงก็ยังรู้สึกถึงอีกคน ตราบใดที่ยังอยู่ในที่ๆมีท้องฟ้า”


“.........................”


“ไม่ต้องร้องไห้นะ ยังไงพี่ก็อยู่ข้างอี้”  คริสกอดคนตัวเล็กไว้หลวมๆ เอนตัวโยกไปมาเหมือนกับหลอกเด็กแต่มันต่างกันเพียงแค่สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น...การส่งต่อความรู้สึกผ่านดวงดาวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและสัมผัสได้


“พี่คริสจะมองเห็นอี้ผ่านดวงดาวใช่มั้ย” อี้ชิงแหงนหน้าขึ้นไปมองพี่ชายด้วยท่าทางน่ารัก แน่นอนว่าเขาเชื่อเรื่องนี้เพราะมันเกิดขึ้นกับอี้ชิงโดยตรงแต่ไม่เคยรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งเชื่อมโยง


“อื้ม.. อี้ก็จะรู้สึกถึงพี่ตอนที่เราอยู่ห่างกันไง...”


















____________________________________________________________________________










.






“ไฟล์บิน XXXXXX เที่ยวบินที่ XX โซล อังกฤษ เชิญท่านผู้โดยสารขึ้นเครื่องได้แล้วค่ะ”


เสียงประกาศไฟล์บินรอบบ่ายเรียกความสนใจจากร่างเล็กที่กำลังนั่งกินโกโก้ร้อนอยู่อย่างหงอยๆ คริสกับคุณนายอู๋ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวส่งลูกชายขึ้นเครื่อง วันนี้ถึงเวลาแล้วที่คริสจะต้องไปบินไปอยู่กับพ่อที่อังกฤษจนกว่าจะเรียนจบ เมื่อคืนอี้ชิงอาการไม่ดีทั้งคืนพราะเอาแต่ร้องไห้เงียบส่งเสียงกระซิกๆอยู่ใต้ผ้าห่มจนคริสนอนไม่หลับเพราะความทรมานใจ แต่ไม่ถึงเที่ยงคืนคนตัวเล็กก็พล่อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียและตอนเช้าตรู่ก็ตื่นขึ้นมาร้องไห้อีก


“คริส...อยู่นู่นดูแลสุขภาพด้วยนะลูก แล้วโทรมาบ่อยๆนะ” จินเป่ายกมือขึ้นจัดปกเสื้อคลุมให้ลูกชายก่อนจะรั้งร่างคนตัวสูงมากอดเอาไว้แน่น ในใจของเธอก็รู้สึกไม่ดีอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับหลายๆเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเพียงแต่ตอนนี้เธอยังไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นอย่างไร


“ครับ แม่ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ดูแลอี้ชิงด้วย ผมไม่อยู่แม่ห้ามตีน้องนะครับ” คริสชิงหอมแก้มผู้เป็นมารดาทั้งสองข้างก่อนจะผละออกแล้วหันไปอ้าแขนทางอี้ชิงเป็นเชิงให้คนตัวเล็กวิ่งเข้ามากอด


“แหม แตะไม่ได้เชียวนะ” คุณนายอู๋พูดไปยิ้มไปกับท่าทางและคำพูดของลูกชายที่ดูจะห่วงน้องมากกว่าแม่เสียอีก


“พี่คริส” อี้ชิงวางแก้วโกโก้ร้อนลงกับเก้าอี้ตัวข้างๆแล้ววิ่งเข้าไปโถมตัวกอดพี่ชายเอาไว้แน่นราวกับว่าไม่ต้องการปล่อยให้คริสไปไหน อี้ชิงกลัวว่าจะอยู่ไม่ได้จริงๆ เขาคงนอนไม่หลับและใช้ชีวิตไม่สุขสบายแน่


“หื้ม ต้องไปแล้วนะ อย่าลืมที่คุยกันไว้หละ”  คริสกดริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่มย้ำๆ ก่อนจะหอมแก้มซ้ายแก้มขวาแรงๆสองที
เป็นการล่ำลาน้องรัก จนคนเป็นแม่ที่ยืนมองอยู่ถึงกับยิ้มไม่หุบด้วยความอิจฉาในสายสัมพันที่เหนียวแน่นของสองลูกชาย


“งื้อ เดี๋ยวอี้จะโทรไปหานะ” คนตัวเล็กไถศรีษะไปกลับไหล่กว้างอย่างออดอ้อนก่อนจะผละตัวออกมาแม้จะไม่อยากออกจากอ้อมกอดเพียงได แต่ถ้ากอดกันนานกว่านี้เขาคงลงไปนอนดิ้นกับพื้นเพราะไม่อยากให้คริสไปเมืองนอกแน่


“อื้อ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ พี่ไปแล้วนะ แม่ครับ ไปแล้วนะครับ” คริสกล่าวล่ำลาครั้งสุดท้ายก่อนจะกระชับสายกระเป๋าให้เข้ากับไหล่เตรียมตัวไปขึ้นเครื่อง


“จ๊ะ รักษาตัวนะ” คุณนายอู๋กับอี้ชิงชูแขนบ๊ายบ่ายกันอย่างสุดแรง คริสกำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่ลืมโบกมือให้กับทั้งสองจนหายเข้าเกทไป จิ่นเปาได้แต่เศร้าใจที่ต้องจากลูกชายสุดรักไปแถมลูกอีกคนก็ไม่รู้จะเป็นยังไงต่อ เธอคงทำได้แค่ภาวนาให้คาเตอร์และพอลลักซ์เทพเจ้าแห่งดาวคนคู่ปกป้องคนทั้งสองต่อไป...


“ม๊า..” อี้ชิงกล่าวเรียกผู้เป็นมารดาเสียงอ่อยพร้อมกับส่งสายตาเศร้าจ๋อยให้กับเธอ อี้ชิงรู้สึกแย่มากจริงๆ มันวูบโหวงไปหมดเหมือนใจหวิวๆคล้ายร่างกายจะหมดสิ้นพลังงานยังไงก็ไม่รู้


“อย่าทำตัวป็นเด็กสิอี้ ไปเถอะกลับบ้านเราลูก” พอเห็นสายตาสิ้นหวังแบบนั้นของลูกชายคนเล็กจินเป่าก็อดนึกสงสารไม่ได้ ในเมื่ออี้ชิงติดคริสมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ไม่เคยห่างกันไปไหนด้วยพอต้องแยกกันกระทันหันแบบนี้คงช๊อคน่าดู


“อี้จะโทรหาพี่คริสนะ”


“นี่ อย่าโอเวอร์แม่คุณ...พี่คริสเพิ่งจะเข้าเกทไปเอง เราเนี่ยจริงๆเลย ไปๆกลับบ้าน” จินเป่ากระตุกแขนลุกชายให้ก้าวเท้าเดินเพื่อที่จะได้กลับบ้านกันได้แล้ว อี้ชิงทำหน้าขัดใจนิดหน่อยแต่ก็ยอมเดินตามผู้เป็นแม่ไปติดๆเอาไว้คืนนี้เขาจะรอเฝ้าโทรศัพท์จากคริสก็ได้...









____________________________GEMINI_______________________









 
สายลมพัดหวิวเข้ามาผ่านหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้จนผ้าม่านปลิวไสว อากาศวันนี้ดูเย็นชื้นคล้ายกับพายุจะเข้า ร่างเล็กนั่งขดตัวอยู่บนโต๊ะที่ถูกดันมาติดกับหน้าต่างเหมือนทุกวัน สูดลมหายใจเอากลิ่นชื้นของเมฆฝนสีแดงกล่ำที่เริ่มตั้งเคล้าเข้าไปเต็มปอด นั่งมองดวงดาวคนคู่ที่คริสเคยบอกว่ามันสามารถส่งผ่านความรู้สึกของพวกเขาสองคนถึงกันได้ อี้ชิงอยากจะลองดูว่าที่พี่ชายตัวเองเคยพูดไว้เป็นเรื่องจริงหรือป่าว ถึงได้พยายามส่งความรู้สึกผ่านมันอยู่

มือข้างนึงกำสร้อยเส้นเล็กไว้แน่น สร้อยที่คริสให้ไว้เป็นเครื่องหมายระหว่างเราสองคนในเวลาที่พี่คริสไม่อยู่ใกล้
ความรักของเรา ความคิดถึงมากมาย ในช่วงเวลาสั้นๆแค่ไม่กี่สัปดาห์ที่คริสหายไปอี้ชิงก็รู้สึกเหมือนว่าอากาศหายใจลดไปครึ่งนึง แถมร่างกายก็ไม่ปกติ เขาไม่ชอบตอนที่ฝนตกหรือฝันร้าย ในตอนที่ขึ้นตื่นมากลางดึกแล้วไม่เห็นอีกคนที่นอนอยู่เตียงข้างๆ เราไม่เคยนอนแยกจากกันไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนก็ไม่เคยต้องแยกจากกัน


ทุกอย่างไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น อี้ชิงทำการบ้านเองได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ที่ขาดไปคือ “คนคู่” ต่างหาก

ทำไมถึงได้รู้สึกเหงาแบบนี้นะ พี่คริสกำลังเหงาเหมือนกับอี้ชิงใช่มั้ย...








ติ้ด ติ้ด ติ้ด ติ้ด ติ้ด

เสียงโทรศัพท์เครื่องบางที่วางอยู่ใกล้ตัวดังขึ้นดึงความสนใจของคนตัวเล็กที่กำลังเหม่อทั้งหมด อี้ชิงรีบหยิบมันขึ้นมาดูทันทีว่าใครเป็นคนโทรเข้าแล้วพอได้เห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอดวงตาเรียวรีก็เบิกกว้างด้วยความดีใจปนประหลาดใจ


“ฮัลโหล พี่คริส!


[อื้ม ว่าไง] ปลายสายที่ตอบกลับมาเหมือนกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเขากำลังจะโทรไปทำให้อี้ชิงถึงกับหลุดยิ้มออกมาในความมหัษจรรย์ ของสิ่งที่เรียกว่าการเชื่อมต่อผ่านดวงดาว


“อี้คิดถึงพี่คริสจังเลย...”


[อืม รู้แล้ว ฮะๆ อี้กำลังทำให้พี่รู้สึกแย่นะรู้ไหม]


“ท..ทำไมหละ”


[ถ้าเหงาก็อย่าร้องไห้นะ มันทำให้พี่รู้สึกไม่ดี พี่บอกแล้วไงว่าพี่รับรู้ความรู้สึกของอี้ผ่านดวงดาว]


“พี่คริส.. อี้ ฮึก..ไม่ชอบเลย..”


[ไม่เอานะอี้ อีกไม่นานหรอก พี่จะได้กลับไปหาแล้ว]


“อี้..ม..ไม่..อึก..ไม่ชอบอยู่คน..ฮรื่ออ..ด..เดียว”


[นอนหลับซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นก็เช้าแล้ว]


“อี้นอนไม่หลับ..ฮรื่ออ..อี้ไม่อยากนอน..ฮะ”


[จะร้องเพลงให้ฟังเอามั้ยจะได้นอนหลับ]


“อื้ม ..ฮรื่ออ..ฮะ”




“hanarete itemo sousa bokura wa….








離れていても そうさ僕らは
ห่างออกไปเรื่อยๆ ระหว่างพวกเรา
天かける 星座の裏表
บินไป.. ตามเบื้องหน้าเบื้องหลังของจักรราศี
ざわめく昼も 切ない夜も
เสียงดังในตอนกลางวันความทุกข์ทรมานใจในยามกลางคืน
空をこえ 惹かれあう Gemini
เสียงจากท้องฟ้า พบกับดาวราศีคนคู่ที่ส่องประกาย
ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจในตอนตี2
รู้สึกตื่นกลัวอย่างมากกับความฝันที่ได้เห็น
รู้สึกหนาวสั่นอยู่เพียงคนเดียวในเวลาแบบนี้
ใครก็ได้ ใครสักคน ช่วยฉันด้วย..
(この空が落ちたような悲しみも)
ท้องฟ้าผืนนี้ ยังคงสงบอย่างรู้สึกเศร้า
胸の奥からこえてくる
เพราะข้างในอก.. ยังคงได้ยินเสียง
เสียงสัมผัสจังหวะดนตรีที่หลอมละลายอย่างอบอุ่น
ยังไม่ได้หายไป กอดมันเอาไว้
หลงทางบนถนน กังวลใจอย่างมากในตอนนี้
目を閉じて 鼓動を感じて
หลับตาลง รู้สึกถึงจังหวะของหัวใจ
เมื่อพ้นยามเช้า มาถึงยามบ่าย
เสียงของเราทั้งคู่นี้ได้เชื่อมโยงเข้าหากัน
ได้ย้อนกลับไปอยู่เพียงตัวคนเดียวอีก
 
こんな 遠い とこに来たんだ
ไกลอย่างนี้.. ที่ที่ฉันได้มาถึง
いつもどこかで聴こえていた
ตลอดเวลา ไม่ว่าที่ไหน ที่ได้ยินเสียง

(滲んでゆく懐かしいRhythmさ)
ขอให้หวนนึกถึงจังหวะเสียงดนตรีนี้
เสียงจากท้องฟ้า พบกับดาวราศีคนคู่ที่ส่องประกาย
惹かれあう Geminiさ
พบกับดาวราศีคนคู่ที่ส่องประกาย....




 


hikare-au Gemini sa




“ฮึก.. พี่... ฮรื่ออออออ... อี้อยากให้พี่คริสกลับมา..ฮรื่ออ”


[อีกไม่นานหรอก แค่แป้บเดียวเท่านั้น สัญญา]


“ฮึกก... “


[ดึกแล้วนะ นอนซะ ถ้านายไม่หลับพี่ก็ไม่ได้หลับนะ]


“ม..ไม่เห็นเกี่ยว..ฮะ..กันเลย ฮึก..”


[เมื่อคืนนอนตีสองใช่มั้ยหละ]


“ทะ..ทำไม อึก..พี่รู้หละ”


[เพราะพี่มองเห็นอี้ไง... ผ่านสร้อย ผ่านดวงดาว..]


“นี่เรื่องจริงใช่มั้ย..ฮึก”


[จริงสิ ไปนอนได้แล้วนะ]


“อื้ออ พี่คริส ฝันดีนะ”


[นายต้องฝันดีนะ พี่ถึงจะฝันดี]


“อื้ออ ตกลง เดี๋ยวอี้จะไปหาพี่ในความฝันนะ”


[ฮะๆ มาสิ คิดถึงจะแย่ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะโทรหานะ]


“อื้อ บ๊ายบ่าย”




ทันทีที่วางสายไปโทรศัพท์ก็ล่วงลงบนโต๊ะทันที จาง อี้ชิงรั้งขาตัวเองเข้ามากอดไว้ซบหน้าร้องไห้ลงกับหัวเข่าสะอึกสะอื้นด้วยความรู้สึกทรมานใจ อี้ชิงกำลังจะตายอยู่แล้ว ... ทำไมคริสไม่ยอมกลับมาสักที...

คนตัวเล็กเอื้อมมือออกไปดึงหน้าต่างที่เปิดไว้เข้ามาปิดลงกรให้เข้าที่ก่อนจะรูดม่านให้เรียบร้อยแล้วจึงเดินไปนั่งที่เตียง อี้ชิงยังคงส่งเสียงร้องไห้กระซิกไม่หยุด เขาเอนตัวลงบนหมอนนุ่มนิ่มก่อนจะใช้ขาเกี่ยวเอาหมอนข้างที่ถูกสวมเสื้อยืดของคริสเอาไว้เข้ามากอดแน่นพร้อมกับปล่อยน้ำให้ไหลออกมาอย่างไม่กลัวว่าหมอนจะเปื้อน





แกร๊ก

เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องไม่ได้ทำให้คนตัวเล็กใส่ใจ เขารู้ว่าแม่เข้ามาทำไมตอนนี้แต่ยังไม่อยากคุยด้วย เสียงดังก้องแก้งดังอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือก่อนที่เสียงแม่ของเขาจะพูดขึ้น


“กินยาก่อนนะลูก” จินเป่าเอื้อมมือไปพลิกไหล่อี้ชิงที่นอนหันหลังให้เธออยู่หันกลับมารับยา เธอส่งถ้วยใส่ยาเม็ดเล็กๆพร้อมกับแก้วน้ำลายมิคกี้เมาส์ให้ลูกชาย


“อี้ไม่อยากกิน” อี้ชิงงอแงไม่ยอมรับยามา เขาไม่ได้เกลียดยาเม็ดแต่แค่ไม่ต้องการมัน อี้ชิงไม่ต้องการยารักษาโรคไม่ว่าจะแขนงไหนก็แล้วแต่ เขาต้องการคริส ...ต้องการให้พี่ชายกลับมา...


“ไม่กินไม่ได้นะ... งั้นแม่วางไว้ตรงนี้ อย่าลืมกินด้วย” จินเป่าไม่อยากเซ้าซี้เมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังร้องไห้ เธอวางแก้วน้ำแล้วแก้วยาไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินออกไปจากห้องปล่อยให้อี้ชิงได้อยู่คนเดียว


น้ำตาใสๆไหลหยดออกจากดวงตาคู่สวยทันทีที่เดินออกมาพ้นประตู จินเป่ายกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้ เธอเดินกลั้นสะอื้นไปถึงห้องนอนแล้วปิดล๊อคมันอย่างดีเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงร้องไห้หลุดเล็ดลอดออกไป หญิงสาววัยกลางคนเดินไปนั่งบนเตียงสีขาวขนาดใหญ่ก่อนจะหยิบเอากรอบรูปลูกชายทั้งสองขึ้นมาดู...



เป็นห่วงคริส...สงสารอี้ชิง...



มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอกให้ใครเชื่อไม่ว่าจะเป็นหมอแผนปัจจุบันหรือแพทย์แผนจีน สองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้อี้ชิงป่วยหนักมากขึ้นตามลำดับจากวันแรกที่เป็นแค่ไข้อ่อนๆต่อมาก็เริ่มไอและตัวร้อน แถมภูมิแพ้อากาศก็รุมเร้า บางวันอี้ชิงทำได้แค่นอนเฉยๆขยับตัวไม่ไหวเพราะไม่มีแรงจนขาดโรงเรียนมาสองอาทิตย์แล้วตั้งแต่ที่คริสย้ายไปอยู่ต่างประเทศ


อี้ชิงร่างกายอ่อนแอลงทุกวันจนไม่สามารถออกไปเจออากาศเย็นข้างนอกได้เพราะไม่ทันจะได้เดินไปไหนแค่ออกไปยืนรดน้ำต้นไม้ก็เป็นลมอย่างไม่มีสาเหตุ... จินเป่ารู้ดีว่าทำไมแต่ไม่สามรถแก้ไขอะไรได้


ตอนเด็กๆอี้ชิงเป็นเด็กขี้โรคมากแต่พอโตขึ้นหน่อยก็ร่างกายแข็งแรงเพราะคริสอยู่ด้วย...กับคนทั่วไปมันอาจจะดูไร้สาระแต่ถ้าไม่มาสัมผัสเองก็ไม่รู้ ช่วงไหนที่อี้ชิงป่วยหนักถ้าคริสมานอนด้วยตอนตื่นเช้ามาอี้ชิงจะหายทันทีแต่เป็นคริสที่ซูบแทน ตอนเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่อี้ชิงโดนรถชนที่หน้าบ้านจนเกือบตายเธอก็เห็นจะๆกับตาว่าทันทีที่รถพุ่งชนร่างลูกชายคนเล็กจนกระเด็นลอยไปไกลร่างของคริสก็ทรุดวูบสลบลงไปต่อหน้าต่อตาทันที


เหมือนกับปาฏิหารเข้าช่วยเมื่ออี้ชิงที่ควรจะตายกลับรอดชีวิตและเป็นคริสเองที่อยู่ๆหัวใจก็หยุดเต้นกระทันหัน เดี๋ยวเต้นเดี๋ยวหยุดจนต้องปั้มหัวใจกันหลายรอบกว่าอาการจะทรงตัวแล้วถึงรอดมาได้ทั้งคู่


แต่ตอนนี้ไม่คริสอยู่แล้วร่างกายของอี้ชิงเหมือนขาดพลังงานที่ช่วยพยุงชีวิตเอาไว้และมีแต่จะทรุดลงทุกวัน ถ้าจะโทรให้คริสย้ายกลับมาตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้อีกเพราะอี้ชิงแค่ร่างกายไม่แข็งแรงและเธอยังไม่รู้ว่ามันจะรุนแรงได้มากขนาดไหน ถ้าบอกให้คริสกลับมาแล้วอ้างเหตุผลเรื่องนี้ลูกชายของเธอจะเชื่อหรือป่าว


คริสจะหาว่าเธอเป็นคนฟั่นเฟืองไหม ตอนนี้ก็ยังทำอะไรไม่ได้นอกจากพยุงอาการป่วยไข้ เป็นหวัดและภูมิแพ้เล็กๆน้อยๆไปก่อนจนกว่าจะเจอหมอที่รักษาได้หรือจนกว่าคริสจะกลับมา...







ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีหรือนานแค่ไหน... ไม่รู้ว่าร่างกายของอี้ชิงจะทนได้นานขนาดหรือป่าว....














พวกเราห่างออกไปเรื่อยๆตามวงโคจรของดาวราศีคนคู่
ความทุกข์ทรมานและเสียงจากความมึดในยามค่ำคืน
ไม่สู้เสียงจากท้องฟ้า และแสงดาวจากดาวราศีคนคู่ที่ส่องประกาย
หากแม้ฝันร้ายที่ฉุดให้ตื่นขึ้นมาในตอนดึก รู้สึกกลัวอย่างมากกับความฝัน
ร้สึกหนาวสั่นอยู่เพียงคนเดียวในเวลาแบบนี้

ใครก็ได้สักคนช่วยฉันด้วยช่วยที






ท้องฟ้ามืดมน ยังคงสงบอย่างรู้สึกเศร้า
เพราะข้างในอกยังคงได้ยินเสียง เสียงสัมผัสจังหวะดนตรีที่หลอมละลาย
ยังไม่ได้หายไปไหน กอดมันเอาไว้
หลงทางและกังวลใจอย่างมากในตอนนี้
หลับตาลงรู้สึกถึงจังหวะของหัวใจ เมื่อพ้นยามเช้าและยามบ่ายมาถึงเวลาค่ำ








เสียงของเราทั้งคู่จะได้เชื่อมโยงเข้าหากัน











END First part




-TBC-













ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น