WARNING : ฟิคมันเศร้ามากกว่านั้น กรุณาอย่าปิดดนตรีที่ใส่ไว้นะคะ
さようならせんせい
sayonara sensei.
sayonara sensei.
เสียงจ้อกแจ้กดังสนั่นไปทั่วอาคารเรียนชั้มมัธยมปลาย เช้าวันจันทร์ที่แสนน่าเบื่อสำหรับใครหลายคนแตกต่างออกไปจากความรู้สึกของ จาง อี้ชิง นี่เป็นวันแรกที่อาจารย์หน้าใหม่วัย 23 ปีได้เริ่มทำงานเป็นคุณครูอย่างแท้จริงหลังจากที่เรียนจบคุรุศาสตร์มาหมาดๆและไปฝึกสอนเด็กประฐมที่โรงเรียนรัฐบาลเพื่อใช้หนี้ทุนการศึกษาที่ยืมมาเป็นเวลา3เดือน อี้ชิงก็ได้รับอณุญาตให้ไปเป็นครูสอนภาษาในโรงเรียนเอกชนได้และนำเงินเดือนมาจ่ายชำระตามระยะเวลาแทน กำลังใจและความมุ่งมั่นที่จะสอนเด็กนักเรียนของเขาเต็มเปี่ยมอัดแน่นสำหรับวันแรก เด็กมัธยมปลายอาจไม่ซุกซนเหมือนกับเด็กประถมแต่ไม่ว่ายังไงวันนี้ จาง อี้ชิงต้องทำเต็มที่ในหน้าที่ครูตามที่เขาได้ฝันเอาไว้ตั้งแต่ยังเด็ก
เสียงออดเริ่มคาบโฮมรูมดังไปแล้วตอนนี้อี้ชิงนั่งอยู่หน้าห้องเรียนรออาจารย์ประจำชั้นมาพาเขาเข้าห้องและแนะนำตัวกับนักเรียนทุกคนเพราะอี้ชิงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้พ่วงสอนวิชาแนะแนวและเป็นอาจารย์โฮมรูมของห้อง ม.5/4 ด้วย เขาจึงต้องทำหน้าที่เหมือนครูประจำชั้นคนที่2ของเด็กห้องนี้ อี้ชิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆจนเต็มปอด มองเห็นอาจารย์ประจำชั้นสูงวัยในชุดราชการเดินยิ้มแฉ่งจากบันไดตรงมาหาไวๆ ในมือถือกระดาษอะไรสักอย่างขึ้นมาด้วยก่อนที่เธอจะกวักมือเรียกเขาให้เมื่อเดินตามไปเมื่อถึงประตูห้องเรียน
อาจเป็นเพราะยังไม่มีอาจารย์คนไหนเข้าห้องเลยทำให้ทั้งสายชั้นเสียงดังเป็นพิเศษแต่พอหญิงชราพาเขาเดินเข้าไปในห้องเสียงเจี้ยวจ้าวก็ซาลงถึงจะยังไม่หมดไป
“ทั้งหมดทำความเคารพ”
“อันยองฮาเซโย~”
ภาพนักเรียนที่โค้งหัวลงไปกับโต๊ะอย่างพร้อมเพียงและคำกล่าวสวัสดีทำเอาจาง อี้ชิงรู้สึกปริ่มไปทั้งใจนี่เป็นสิ่งที่เขาหวังจะให้เกิดขึ้นกับตัวเองมาตลอด เสียงทำความเคารพ คำว่า “เหล่าซือ” การตรวจการบ้านและอื่นๆ วันนี้เขาจะได้ทำมันอย่างเต็มที่ในสถานะครูไม่ใช่แค่ครูฝึกหัด...
“ค่ะ นี่อาจารย์ จาง อี้ชิง ครูสอนภาษาจีนคนใหม่กับวิชาแนะแนวแล้วก็เป็นครูโฮมรูมห้องเราด้วย เดี๋ยวให้อาจารย์แนะนำตัว” อาจารย์โซราใช้กระดาษในมือเคาะไหล่อี้ชิงเป็นเชิงให้พูดแนะนำตัวก่อนจะเดินไปที่โต๊ะหลังห้องทิ้งให้อาจารย์ใหม่ยืนเก้ๆกังๆคนเดียวแต่อี้ชิงก็ไม่คิดโทษ เพราะดูเหมือนเธอจะธุระอะไรตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว
“สวัสดีครับ อาจารย์จาง อี้ชิงคุณครูใหม่ ขอให้ทุกคนเชื่อฟังและตั้งใจเรียนด้วยนะครับ” ถึงจะพูดด้วยความประหม่าแต่ก็ยิ้มออกมากลบเกลื่อนทุกอย่างที่รู้สึก นักเรียนในห้องดูไม่สนใจไม่ตื่นเต้นเท่ากับตอนที่เขาแนะนำตัวกับเด็กประถมแต่ก็ถือว่าพอดูมีกริยาตอบสนองในระดับนึง
“อี้ชิง ฝากเช็คชื่อรวบรวมการบ้านวิชาสังคมไว้บนโต๊ะด้วย พี่มีประชุมสหกรณ์ข้างล่าง” อาจารย์โซราเดินเอากระดาษในมือมายื่นให้เขา ที่แท้มันก็เป็นกระดาษเช็คชื่อนี่เอง เธอบอกให้เขาเอาไปถ่ายเอกสารไว้เพราะจะต้องเช็คชื่อทุกวันและเก็บลงบันทึกประจำวัน หลังจากที่ทำความเข้าใจแล้วเธอก็เดินออกไปทิ้งเขาไว้กับเสียงเด็กเจี้ยวจ้าว
“เดี๋ยวเช็คชื่อ ใครมาก็ขานด้วยนะครับ” อี้ชิงเดินไปหยิบปากกาที่โต๊ะแล้วนั่งลงประจำที่ ไม่มีเสียงตอบกลับครับ/ค่ะจากนักเรียนแต่เขาคิดว่าบางทีเสียงที่พูดมื่อกี้อาจจะเบาไป
“คนแรก โอ เซฮุน.... โอ...เซฮุน...ใครชื่อเซฮุนมาหรือป่าว” ไม่มีเสียงขานรับชื่อแม้แต่เสียงของเพื่อนที่บอกว่าไม่มาก็ไม่มี เขาเว้นจังหวะหายใจก่อนจะพูดออกมาอีกครั้งในน้ำเสียงที่ดังกว่าครั้งก่อนแต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ
“ไอ้ฮุนอาจารย์เรียกชื่อ” เสียงนึงดังขัดขึ้นในขณะที่อี้ชิงกำลังจะติ๊กช่องขาดเรียนทำให้เขาต้องเงยหน้ามองแขนยาวๆที่ชูขึ้นมาจากด้านหลังพร้อมกับเสียงตอบขานยานครางเหมือนไม่เต็มใจ
“มาครับ”
“คราวหลังตั้งใจฟังหน่อยนะครับ ครูเกือบจะลงชื่อขาดไปแล้ว” อิ้ชิงกล่าวอย่างหวังดี เพราะถ้าเขาไม่ได้ยินเสียงเด็กเตือนเมื่อกี้ โอ เซฮุนก็จะขาดเรียนไปฟรีๆเลยหนึ่งวัน ในขณะที่กำลังจะขานเรียกรายชื่อต่อไป เสียงเด็กนักเรียนก็ซาลงจนได้ยินเสียงบ่นแว่วๆมาจากเสียงของเด็กหนุ่มเมื่อครู่
“แม่งพูดอะไรวะ กูฟังไม่ได้ยินแล้วเสือกจะให้กูขาดเรียนอีก โว๊ะ ครูเ*ยไร”
“เ*ย เดี๋ยวมันก็ได้ยินหรอก”
ถึงจะเป็นเสียงที่ใช้คุยกันเบาๆกับเพื่อนแต่ก็ดังพอจะได้ยินมาถึงหน้าห้อง...อี้ชิงถึงกับสะอึกกับคำหยาบที่เด็กนักเรียนใช้เรียกเขาเมื่อครู่มันทำให้กำลังใจที่พกมาเต็มกระเป๋าหายไปถึงครึ่งจนรู้สึกใจแป้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเชื่อว่าต้องมีเด็กดีอีกหลายคนในห้อง โอ เซฮุนอาจเป็นแค่เด็กหยาบคาบคนนึงแต่คงไม่ใช่กับนักเรียนของเขาทั้งหมด
“คิม มินซอก”
“มาครับ” อย่างน้อยก็มีเด็กผู้ชายคนนึงหละที่ให้ความร่วมมือในการเริ่มงานวันแรกของเขา…
“ปาร์ค ชานยอล”
“ครับ”
“อู๋ อี้ฟาน เอ๊ะ.... ใครชื่ออี้ฟานเป็นคนจีนหรอ” อี้ชิงเงยหน้าจากกระดาษรายชื่อขึ้นมองเด็กในห้องเพราะแซ่อู๋ถือเป็นนามสกุลที่ใช้ในจีนแถมชื่อก็บ่งบอกอีกต่างหากว่าเป็นคนจีน แบบนี้มันอาจจะดีก็ได้ที่เขาได้เจอกับคนที่มาจากประเทศเดียวกัน จะได้ผูกมิตรได้ง่ายขึ้น
“ครับ” เสียงทุ้มต่ำดังห้วนๆมาจากที่นั่งริมหน้าต่างเกือบติดกระดาน อี้ชิงชโงกหน้าดูตัวเด็กหนุ่มเจ้าของเสียง หน้าตาของ อู๋ อี้ฟานบ่ง
บอกยี้ห้อจีนแท้ไม่เหมือนกับคนเกาหลีเลยสักนิด แถมดูแล้วท่าทางจะหล่อที่สุดในห้องเสียด้วยซ้ำผมดำตัดสั้น จมูกโด่งดูหล่อเหมือนกับหลุดออกมาจากนิตยาสารทีเดียว
“เป็นคนจีนหรอ”
“ครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ครูก็คนจีนเหมือนกัน”
“เฮ้ย! จะพูดอีกนานไหม’จารย์ ผมจะรู้แล้ว รีบเช็คชื่อเร็วๆดิ” เด็กหนุ่มพูดตวาดเสียงดังทำเอาคนตัวเล็กถึงกับสดุ้งตกใจ ใบหน้าของเขาแสดงออกว่ากำลังหงุดหงิดอย่างชัดเจนก่อนที่จะบ่นอะไรงึมงัมที่ริมฝีปากแล้วเสหน้าออกไปนอกหน้าต่างไปโดยที่ไม่สนใจอี้ชิงเลยสักนิดเดียว
หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนเด็กนักเรียนตวาด แต่เพราะอี้ชิงไม่อยากมีปัญหาในวันแรกเขาจึงเลือกที่จะปล่อยผ่านและเช็คชื่อนักเรียนคนอื่นๆต่อไป นักเรียนทุกคนยังน่ารักเหมือนเดิมส่วนนักเรียนที่กวนประสาทก็มีบ้างแต่ก็อยู่ในระดับที่พอจะรับมือไหว แค่รู้สึกสนุกกับมันก็พอแล้ว ในห้องมีเด็กแค่30คน ใช้เวลาไม่นานทุกรายชื่อก็ถูกตรวจสอบเรียบร้อยก่อนที่เขาจะวางมันไว้บนโต๊ะแล้วทับด้วยที่ทับกระดาษรอครูประจำชั้นมาเก็บไป วันนี้มีเด็กขาดเรียนมากถึง7คน หรือบางทีอาจจะมาสายหรือโดดเรียนภาคเช้าแต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะการมาไม่ทันโฮมรูมจะถือว่าขาดเรียนทันที หากมาหลังจากนี้ก็คงต้องเชิญไปคุยกันที่ห้องปกครอง
“เอาการบ้านที่ครูโซราบอกมาส่งด้วยนะครับ ให้หัวหน้าตรวจด้วยว่าใครไม่มีส่ง จดชื่อใส่กระดาษเอามาให้ครู” ทันทีที่พูดจบประโยคเสียงร้องฮือก็ดังเกือบครึ่งห้องก่อนจะตามมาด้วยคำสบถหยาบคายเบาๆ อี้ชิงคิดว่าคงเป็นเสียงพวกนักเรียนที่ไม่ได้ทำมาส่งแล้วกะจะเนียนส่งแล้วเพราะอาจารย์ส่วนใหญ่ก็ไม่เช็คงานกันทั้งนั้น แต่คราวนี้ก็คงไม่รอดหละ
“ไม่ได้เอามาครับ” เสียงนึงดังขึ้นกลางห้องเรียกสายตาของจาง อี้ชิงให้จ้องมอง คำว่าไม่ได้เอามาเป็นข้ออ้างของเด็กที่ไม่ได้ทำการบ้านตั้งแต่ชั้นประถมยันมัธยมเลยหรือไงกันนะ
“ไม่ใช่ข้ออ้าง หัวหน้าจดชื่อด้วย” เขาเลือกที่จะเมินเด็กเหล่านั้น เพราะยิ่งใส่ใจก็อาจจะยิ่งทำให้คนขี้เกียจได้ใจเข้าไปและนำมาเป็นข้ออ้างเรื่อยไป ถึงเสียงสบถจะดังตามมาเนืองๆไม่ขาด ทุกคำพูดล้วนแล้วกรีดหัวใจของคุณครูใหม่ยับเยินจนเกือบจะหลั่งน้ำตา ครั้งแรกก็จะแย่เสียแล้ว แต่คุณสมบัติของครูยังไงความอดทนและความเสียสละต้องมาที่หนึ่งอี้ชิงคำนึงถึงมันเสมอ...
“เ*ย กูบอกไม่ได้เอามา แม่งสนใจฟังหรือป่าววะหนะ”
“มึงไล่มันออกไปนอกห้องเรียนไป ทำกูหงุดหงิดตั้งแต่โฮมรูม”
“สงสัยอยากได้เงินเดือนไปใช้หนี้ ทำดีเอาหน้าป้าโซราแต่กับนักเรียนไม่เห็นจะสนใจ กูว่ารวมเงินกันให้มันแล้วไล่แม่งออกไปเลยไหม”
ถึงจะเป็นคำพูดหยอกล้อแดกดันที่ไม่ใช่เรื่องจริงแต่ก็ทำเอาคนถูกพาดพิงถึงกับน้ำตาคลอจุกอก คำพูดแดกดันในฉบับตลกร้ายที่เกิดจากความเกลียดชังไม่ถูกขี้หน้ากับครูใหม่ อี้ชิงรู้สึกเหมือนขอบตาร้อนผ่าวเขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่หางตาลวกๆก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเรียกพลังให้กับตัวเองอีกครั้ง เขาคิดว่าพวกเด็กๆอาจจะหงุดหงิดเพราะกลัวถูกตี เดี๋ยวต่อไปทุกๆอย่างก็จะดีขึ้นเอง
อี้ชิงนั่งมองหัวหน้าห้องหญิงและรองหัวหน้าเดินเก็บการบ้านพร้อมกับจดรายชื่อจนเกือบจะเสร็จแล้ว เด็กสาวผมยาวหน้าม้าเต่อเดินถือกระดาษA4ที่มีรายชื่อเด็กไม่ส่งการบ้านมายื่นให้เขา....มันมีเกือบ20คน แล้วทุกคนล้วนเป็นเด็กชายทั้งสิ้น
เขาไม่สงสัยเลยว่าทำไมทุกคนไม่พอใจกับการส่งการบ้านวิชาสังคมเพราะจำนวนคนที่ไม่ได้ทำมันเยอะมากขนาดนี้นี่เอง ถ้าเอารายชื่อไปนี้ไปส่งให้อาจารย์โซราอี้ชิงจะโดนเด็กครึ่งห้องเกลียดขี้หน้าทันที ตอนนี้เขากำลังคิดว่าจะทำยังไงถึงจะเอาชนะใจเด็กเหล่านี้
“ทำไมคนไม่ได้ทำการบ้านเยอะจัง เดี๋ยวครูจะบอกครูโซราให้ว่าเลื่อนการส่งการบ้านไปเป็นพรุ่งนี้ แล้วพรุ่งนี้เอามาส่งด้วยนะครับ หัวหน้าแจกสมุดคืนไปเลย” พอกล่าวจบประโยคอี้ชิงได้ยินเสียงโห่ดีใจเบาๆจากคนกลุ่มน้อย แต่ก็ยังแอบเห็นเด็กบางคนเบ้หน้าด้วยความหมันไส้ ยังไงวันนี้เขามีสอนวิชาแนะแนวคาบสุดท้าย ต้องผูกมิตรและตัดศัตรูให้ได้ในวันแรก การสอนยังไม่สำคัญเพราะเขาไม่อยากโดนเกลียดไปซะก่อน
“เตรียมของไปเรียนตามวิชาได้แล้วครับ คาบสุดท้ายเจอกันใหม่” อี้ชิงโยนกระเป๋าเป้ไว้ตรงที่วางลำโพงไมค์ก่อนจะหยิบเอาแฟ้มใส่ชีทงานต่างๆไปด้วยเพื่อที่จะไปสอนห้องอื่นต่อ
“ทั้งหมดทำความเคารพ” เสียงหัวหน้ากล่าวนำอำลาตามหน้าที่ จาง อี้ชิงยืดตัวตรงอย่างมั่นคงแต่ทว่าเสียง “อันยองฮาเซโย” ชั่งแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน ส่วนใหญ่จะลื้อกระเป๋าและกินขนมกันมากกว่า เขาไม่อยากจะติดใจอะไรกับมันเลยเดินหนีออกมาทันทีโดยไม่คิดจะกล่าวรับคำลา อย่างน้อยก็มีเด็กๆห้องอื่นที่อาจจะนิสัยดีมากกว่านี้รออยู่...
ออดพักกลางวันดังขึ้นเมื่อเข้าสู่เวลาพัก แต่สำหรับจางอี้ชิงคาบ3เขาไม่มีสอนเลยกินข้าวและพักผ่อนไปแล้ว วันนี้เขาต้องถ่ายเอกสารสำคัญอีกหลายอย่างทำแฟ้ม จำรายชื่อเด็ก ตรวจชีทงานและถ้าว่างก็จะเข้าสหกรณ์ไปซื้ออุปกรณ์ทำบอร์ดสื่อการเรียนรู้
เด็กๆออกไปกินข้าวกันหมดแล้วจะมีบ้างที่ยังนั่งใส่รองเท้าอยู่หน้าห้อง นักเรียนที่ชื่อมินซอกโค้งให้เขาหนึ่งทีอย่างมีมารยาทก่อนจะเดินจากไปทำเอาให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวของ จาง อี้ชิง เริ่มผลิบาน เขาเดินเข้าไปในห้องเรียนมองเห็นร่างสูงโปร่งที่จำได้แม่นยำนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ขอบหน้าต่าง อี้ฟานหันหน้ามามองเขาแค่เพียงแว้บเดียวก็เมินหนีไปแถมไม่มีทีท่ากลัวเกรงเลยสักนิด
“ในโรงเรียนห้ามสูบบุหรี่นะครับ มันเป็นกฎระเบียบ” อี้ชิงเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่ม พยายามดัดเสียงคำพูดให้แข็งหวังข่มคนตัวสูงกว่าที่ยังไม่มีท่าทางสะทกสท้าน แถมยังหันมาพ่นควันสีขาวอมเทาใส่หน้าเขาอีกด้วย
“รำคานว่ะ” ไม่มีแม้แต่แววตาที่แสดงความเคารพนับถือแถมคำพูดก็ไม่มีสัมมาคารวะเหมือนไม่เห็นหัวกัน อาจจะเป็นเพราะอี้ฟานเห็นเขาเป็นครูใหม่เลยไม่เกรงกลัวแต่ยังไงอี้ชิงก็ไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไปแน่
“ดับบุหรี่ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไปห้องปกครองด้วยกัน” อาจารย์หนุ่มว่าด้วยสีหน้าจริงจัง
“หึ...’จารย์สิต้อง ไสหัวไปไกลๆจากโรงเรียน ไม่มีใครเขาชอบหน้า” สีหน้าร้ายกาจกับคำพูดหยามเหยียดทำให้จางอี้ชิงหนักอกไปหมด แววตาดูถูกที่ไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าสายตาคมๆบาดไปทั่วร่างกายและจิตใจ อี้ฟานไม่เห็นเขาเป็นครูในสายตา..
“ถ้าพูดจาหยาบคายใส่กันแบบนี้แสดงว่าอยากจะไปห้องปกครองจริงๆใช่ไหมอี้ฟาน ครูให้โอกาสเธอดับบุหรี่แล้วก็ถอนคำพูดซะ”
“ผมป่าวพูด ไปดูที่กระเป๋าสิ” คริสหัวเราะเยาะพร้อมกับโยนก้นบุหรี่ใส่หน้าอาจารย์หนุ่มแล้วกระโดดจากขอบหน้าต่างเดินชนไหล่หนีไปอย่างไม่ใยดี ทิ้งความสงสัยไว้ให้กับจางอี้ชิง พอรู้สึกตัวขายาวๆก็รีบก้าวไปที่ชั้นวางลำโพง กระเป๋าเป้สีโอลด์โรสถูกเขียนด้วยเมจิกสีดำ สีแดง และสีน้ำเงินมากมาย บ้างก็มาในรูปแบบกระดาษที่ถูกแปะเอาไว้
‘ไปตายไป ทำตัวน่าหมันไส้ว่ะ’ ‘ไอ้ทุเรศ’ ‘ขายตัวเอาเงินไปใช้หนี้ดีกว่าไหมครับ?’ ‘ปากดีนัก โม๊คให้ผมที’ ‘เกะกะลูกตา’
ทั้งคำพูดดูถูกคำด่าสารพัดทำเอาจางอี้ชิงทรุดเข่าลงกับพื้นปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อายเพราะตอนนี้ไม่มีเด็กสักคนอยู่บนชั้นเรียน หัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังถูกทำร้ายเละไม่เหลือชิ้นดี เขาเริ่มสะอึกสะอื้นร้องไห้จนตัวงอซบหน้าลงกับเก้าอี้นั่งในมือกำแผ่นกระดาษไว้แน่น อี้ชิงทำอะไรผิดอย่างนั้นหรอ ทำไมถึงได้โดนเกลียดมากขนาดนี้....?
‘เด็กกำลังเป็นวัยรุ่นอดทนหน่อยนะคะ’ คำพูดของอาจารย์โซราตอนที่คุยกันตอนเช้ายังดังก้องอยู่ในหัว แต่นี่มันหนักเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้... วันแรกถ้าแย่ขนาดนี้เขาจะทนอยู่ได้นานสักแค่ไหน....แถมยังต้องหาเงินเดือนไปใช้หนี้รัฐบาล
อี้ชิงจะต้องทำยังไงถึงจะเป็นครูที่ดี....
แกร๊ก
ลิ้นชักโต๊ะถูกปิดลงช้าๆ เวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำจางอี้ชิงเพิ่งตรวจสมุดเล่มสุดท้ายเสร็จถึงแม้มันจะมีแค่15เล่มแต่เขาก็อยู่ทำบอร์ดสื่อการเรียนรู้ซะจนลืมเวลาลืมตรวจการบ้าน เข้าสู่วันที่สี่สำหรับชีวิตครูที่อาบไปด้วยน้ำตาและหัวใจที่ถูกย่ำยี คำพูดดูถูกบาดหูยังคงมีให้ได้ยินทุกวัน โดนแกล้งสารพัดนาๆทั้งแอบเอาอะไรมาผสมน้ำดื่ม เอาขยะใส่กระเป๋า ฉีกสมุดการบ้าน ทำของในห้องพังบ้าง ยิ่งดุยิ่งว่าก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกวันแต่พอเลือกที่จะเงียบก็กลายเป็นว่ายอมรับการโดนกระทำย่ำยีไปซะอย่างนั้น โดยเฉพาะอี้ฟาน....เด็กหนุ่มที่เป็นถึงหัวโจกห้องมีเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน อย่างเมื่อวานก็ไปฟาดฟันกับเด็กโรงเรียนอื่นจนเขาต้องขู่ว่าถ้าทำอีกจะเรียกผู้ปกครอง เหมือนอี้ฟานเองก็จะกลัวพ่อแม่ไม่น้อย เขาทั้งเขียนใบหักคะแนนความประพฤติให้เด็กหนุ่ม แต่จริงๆแล้วในสมุดพกอี้ฟานยังว่างเปล่าเขาไม่เคยหักคะแนนหรือรายงานพฤติกรรมไม่ดีของอี้ฟานลงสมุดบันทึกแม้แต่ประโยคเดียว รวมถึงเด็กคนอื่นๆก็ไม่ได้ทำเช่นเดียวกัน
อี้ชิงเก็บสมุดพก4เล่มบนโต๊ะลงใส่ลิ้นชักอีกฝั่งก่อนจะไขล๊อกมัน เขาจะไปแวะเข้าห้องน้ำสักหน่อยก่อนจะกลับบ้าน ยังพอเหลือรถเมล์เทียวค่ำอยู่บ้างคงไม่เสียเวลา กระเป๋าเป้ใบใหม่ถูกสะพายขึ้นหลังอี้ชิงยกฟิวเจอร์บอร์ดที่ทำเสร็จแล้วติดตัวไปด้วยก่อนจะปิดไฟเดินออกจากห้องและปิดประตูช้าๆ ตอนนี้อาคารเรียนแทบจะมืดสนิทนอกจากไฟทางเดินตรงบันได ห้องน้ำครูอยู่ชั้นบนระหว่างขั้นบันไดขึ้นไปชั้น5ไม่ไกลนัก เขาหอบแผ่นพลาสติกเดินฮัมเพลงกลบความกลัวขึ้นไปจนถึงห้องน้ำวางบอร์ดเอาไว้ห้องก่อนจะเปิดไฟแล้วเข้าไปทำธุระส่วนตัว
ผรึบ
ไฟสีเหลืองนวลอยู่ๆก็ดับพรึบทำเอาจางอี้ชิงถึงกับสดุ้งตกใจ ใจนึงก็กลัวสิ่งลี้ลับอีกใจก็คิดว่ากำลังโดนแกล้งอีกแล้ว แต่เวลาแบบนี้จะยังมีใครอยู่ในตึกเรียนกัน ไม่ทันจะได้ปลดข็มขัดซิปกางเกงก็ถูกรูดเข้าที่เดิม เขาจะกลั้นปัสวะเอาไว้ไปขับออกที่บ้านเพราะมันไม่คุ้มกันกับความกลัว พอเปิดประตูออกมากลายเป็นว่าไฟทางเดินบันไดที่ชั้นห้าดับหมดเหลือแค่แสงสลัวๆจากชั้นสี่ เขารีบหยิบฟิวเจอร์บอร์ดแล้วเตรียมจะเดินลงไปทันที ถ้าไม่ติดว่าได้ยินเสียงดังตึงมาจากห้องเรียนที่อยู่ฝั่งริมสุดติดทางเดิน
หัวใจในอกเต้นรัวสนั่นอย่างหวาดกลัวทั้งผีและโจร อิ้ชิงกำลังนึกว่าเขาควรจะวิ่งหนีไปข้างล่างหรือเข้าไปดูดี แต่ไม่ทันจะได้ตัดสินใจก็มีแรงผลักจากด้านหลังอย่างแรงจนตัวเขาล้มคว่ำไปด้านหน้า อาจเป็นเพราะโรคตาฟางในเวลากลางคืนทำให้เขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด เขารีบพลิกตัวและพยายามจะลุกขึ้นแต่ถูกฉุดขายกขึ้นหมุนแล้วไปตามทางเดินที่มึดสนิท
“ปล่อยนะ!!! นี่ใคร! อย่าแกล้งครูแบบนี้นะ!” อี้ชิงพูดดักเอาไว้ก่อน เขาไม่รู้ว่าใครทำเรื่องนี้จะนักเรียนหรือคนแปลกหน้าแต่ตอนนี้เขากลัวมากจริงๆ
“ปล่อยนะ!! ขอร้องหละ!!” น้ำตาใสๆเริ่มเอ่อคลอและไหลออกมา สมองและหัวใจของจางอี้ชิงเต้นตุ้บๆอย่างตื่นตัวใจสั่นตัวสั่นไปหมดสองขาถีบไปมาแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่าย เขาถูกลากไปตามทางมึดๆเพียงไม่นานก็ถูกปล่อยขาลง ด้วยความกลัวเลยกระชากขากลับกอดตัวเองไว้แน่นแล้วเริ่มร้องไห้
“ใครหนะ!” เขามองไม่เห็นใครแต่กำลังพูดถึงคนที่ลากเขามาที่นี่ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับนอกจากเสียงดังเคล้งเหมือนคนล๊อคกุญแจ เมื่อได้ยินเสียงแบบนั้นหัวใจของจางอี้ชิงก็หล่นวูบ ใช้สองมือคลำพื้นปูนซีเมนต์ไปจนสัมผัสกับสิ่งที่คล้ายกับไม้เลยลองทุบดูและปรากฏว่ามันเป็นประตูอย่างที่คิดแต่ทว่าเปิดไม่ออก.... มันขยับได้นิดหน่อยแต่ถูกกุญแจคล้องเอาไว้จากด้านนอก
“ฮึก..ใครทำแบบนี้...ปล่อยฉันออกไปเถอะ....ฮรื่อ...!” อี้ชิงเริ่มร้องไห้จนสะอึกสะอื้น เพิ่งรู้ตัวว่าถูกแกล้งอีกแล้ว แต่ที่ๆมึดๆแบบนี้ทำให้เขากลัวมากจนยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ออกไปจากที่นี่
“ฮรื่อ...เปิดเซ่!!” กำปั้นเล็กๆทุบประตูสุดแรงหลายๆทีก็จะหอบหายใจฮักสะอื้นจนตัวโยน อี้ชิงกลัวความมึดและที่แคบ...กลิ่นเหม็นฝุ่นเหม็นกลิ่นแล็กเกอร์เคลือบไม้แบบนี้ทำให้เขารู้ว่าตัวเองถูกขังอยู่ให้ห้องเก็บของใต้บันไดชั้นห้า
เสียงหัวเราะสนุกดังเบาๆมาจากด้านนอก อี้ชิงแยกไม่อกว่าเสียงใครเขายังทุบประตูไปเรื่อยๆพร้อมกับร้องไห้ขอความช่วยเหลือจากทั้งคนด้านนอกและใครก็ตามที่เผื่อจะผ่านมาได้ยิน
“ฮรื่อ...เปิดประตูเถอะ....ขอร้องหละ ฮึก ฉันขอโทษ เปิดประตูให้หน่อยนะ” เขาพูดขอโทษออกไปอย่างไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แค่หวังว่ามันจะทำให้ใครบางคนข้างนอกหายโกธรอาจจะเป็นเรื่องที่เขาเคยลงโทษหรือตำหนิ ตอนนี้ในหัวมันนึกอะไรไม่ออกแค่อยากจะออกไปจากที่นี่เท่านั้น
แกร้ก...
เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นในห้องทำเอาอี้ชิงสดุ้งฮึก มือของเขาเย็นไปหมดอย่างหวาดกลัว เสียงคนด้านนอกหัวเราะเบาๆก่อนจะเงียบไป มันเงียบจนเหมือนกับไม่มีคนอยู่แล้ว...
“ใครหนะ... นี่..เปิดประตูสิ! ฮึก อย่าเข้ามานะ กลัวแล้วฉันขอโทษ ฮรื่อ...” อี้ชิงคร่ำครวญทั้งน้ำตา เสียงร้องไห้ฮือในลำคอไม่มีประโยชน์เลยเพราะเขาคิดว่าไม่มีใครได้ยินมันอีกแล้ว
“ฮึก...”
“แฮ่!!!!!”
“อ๊าาาาาาาาาาาาาา!!!!!!!”
ใครบางคนตะคุบตัวอี้ชิงจากด้านหลังจนคนตัวเล็กร้องลั่นด้วยความตกใจสุดขีด ราวกับวิญญาณถูกกระชากออกจากร่างชั่วขณะ อี้ชิงรู้สึกเหมือนตัวเองจะช๊อคตายมันวูบโหวงใจสั่นและหน้ามึดคล้ายจะเป็นลมก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังลั่นทั้งจากด้านนอกและด้านใน ประตูไม้ถูกเปิดออกพร้อมกับแสงไฟจากไฟฉายที่สาดเข้ามาสองกระบอก
“ฮ่าๆๆๆๆ เ*ย มึงดูหน้ามันดิ โอ้ย!! กูขำ ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะแบบนี้ของ ‘โอ เซฮุน’ ทำให้อี้ชิงกล้าลืมตาขึ้นช้าๆพร้อมกับหันไปมองคนเมื่อครู่ที่เข้ามาจู่โจมจากด้านหลังเพราะไฟฉายที่คนด้านนอกส่องเข้ามาทำให้มองเห็นใบหน้าคนด้านในได้อย่างชัดเจน เขาคนนั้นคือ......‘อี้ฟาน’
“เห้ย! แม่งกลัวจนฉี่ราดเลยไอ้เ*ยเอ้ย! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ!! พรุ่งนี้เล่ามันทั้งโรงเรียนแน่เลย!” คริสตะโกนบอกเพื่อนเสียงดังลั่นเพราะเขาเอาแต่กลัวและตกใจจนลืมสังเกตุไปว่าที่เป้ากางเกงของเขามันเปียกและแฉะเพราะปัสวะที่ราดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แถมยังต่อหน้านักเรียนที่จ้องแต่จะเอาเรื่องของเขาไปพูดในทางเสียหายแบบนี้จางอี้ชิงจะเหลืออะไรอีก...
“ฮึก...ทำ..ทำแบบนี้ทำไม...ฮรื่อ...” ทั้งความอับอายและความกลัวทำให้อี้ชิงเลือกที่จะยกมือปิดหนย้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ทำไมเด็กพวกนี้ถึงจ้องจะแกล้งแต่เขา อี้ชิงคนนี้ผิดอะไรอย่างนั้นหรือ ทำไมถึงได้โดนรังเกียจราวกับเป็นตัวประหลาด แกล้งกันขนาดจะเอาให้ตายถ้าเป็นไปได้แบบนี้...เกลียดอะไรนักหนากับคนที่เป็นแค่ครูตัวเล็กๆอย่างเขา....
“ร้องไห้เลยว่ะ” เสียงของคิม จงอินเด็กซ่าประจำห้องเอ่ยขึ้นอย่างที่ฟังดูไม่รู้ว่าสงสาร สมเพช หรือเป็นแค่ประโยคบอกเล่าเฉยๆกันแน่
“ทำอะไรกันครับ!” ไฟฉายอีกกระบอกสาดมาจากด้านหลังทำให้ไคและเซฮุนรวมถึงอี้ฟานหันไปมองตามกัน ยามเฝ้าตึกประจำโรงเรียนกำลังส่องไฟฉายมาที่พวกเขาอย่างสงสัย
“เห้ย ไปเหอะ มีคนมาช่วยแล้วคงไม่ต้องเก็บกวาด” อี้ฟานพูดอย่างไม่รู้สึกอะไรแถมน้ำเสียงยังฟังดูเหมือนกับหัวเราะเยาะอีกต่างหาก ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินข้ามจางอี้ชิงไปอย่างไม่เคารพ ทั้งสามคนตะเบ้ให้ยามอย่างกวนประสาทก่อนพากันเดินหัวเราะแกว่งไฟฉายออกไปตามทางเดินอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับหัวข้อสนทนาใหม่ที่น่าสนุกไม่น้อย
‘อาจารย์อี้ชิงโดนหลอกผีจนฉี่ราดกางเกง’
“อาจารย์ครับ ไหวไหม” ลุงยามใจดีเป็นคนเดียวที่ให้ความใส่ใจอาจารย์ที่ยังร้องไห้ไม่หยุด อี้ชิงรู้สึกอยากจะตายเข้าไปทุกทีกับการกลั่นแกล้งที่หนักข้อขึ้นทุกวัน เพราะมันไม่ใจกล้าใจเด็ดพอจะลงโทษเด็กพวกนั้นแถมจะย้ายโรงเรียนก็ไม่ได้เพราะยังต้องการเงินเดือนไปใช้หนี้ ถ้าออกตอนนี้เขาจะไม่ได้เงินเดือนเดือนแรก แถมโรงเรียนจะไม่รับรองว่าเคยผ่านการทำงานด้วย ทำไมต้องเป็นแบบนี้นะ...
“ไปครับอาจารย์ ค่อยๆออกมา ไอ้เด็กพวกนี้นี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปฟ้องครูใหญ่ให้เองครับ”
อี้ชิงขยับตัวลูกขึ้นตามความช่วยเหลือ เขายังคงร้องไห้ไม่หยุด หลายความรู้สึกตีกันไปมาในหัวในขณะที่น้ำตาก็ยังไหล ทำไมเด็กๆถึงเกลียดเขา...ทำไมต้องทำร้ายคุณครูคนนี้ ความฝันที่วาดไว้ตั้งแต่เด็กๆและบากบั่นทำมันอย่างตั้งใจมาทั้งชีวิตพังยับเยินแทบไม่มีชิ้นดี ถ้าเขาทนที่นี่ไม่ได้ก็ไม่รู้จะไปทำงานที่ไหนเพราะคงจะเจอแบบเดียวกันไปทุกโรงเรียน จะรุนแรงมากน้อยคงแล้วแต่เวรแต่กรรมจะสรรค์สร้าง
บอร์ดการเรียนรู้ที่เขาตั้งใจทำถูกกรีดพังยับเยินไม่ต่างจากหัวใจที่ขาดรุ่งริ่ง จะมีใครสักคนเข้าใจจางอี้ชิงคนนี้บ้างไหม....ต้องอดทนเท่าไหร่ ต้องเสียสละเท่าไหร่กว่าเขาจะเป็นครู...
จาง อี้ชิง หอบร่างกายที่ร่วงโรยจนแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคนมาโรงเรียนตอนเช้าพร้อมกับความอับอาย ทันทีที่เข้ามาในตึกชั้นมัธยมปลายเด็กๆก็พากันหัวเราะคิกพร้อมกับมองมาที่เขาด้วยสายตาขบขัน หัวเราะเยาะบ้าง ยิ้มสมเพชให้กับสภาพที่ไม่ต่างจากผีตายซากของเขาบ้างหละ บางคนถึงกับซุบซิบให้ได้ยินเรื่องเมื่อคืน อันนี้เขาจะต้องทนแบกรับความอับอายไปจนกว่าจะทนไม่ได้นั่นแหละ ที่สำคัญคืออี้ชิงไม่รู้ว่าความอดทนของเขามันจะหมดลงเมื่อไหร่...
‘อาจารย์ จาง อี้ชิงครูสอนภาษจีน อู๋ อี้ฟาน ม.5/4 คิม จงอิน ม.5/4 โอ เซฮุน ม.5/4 ทั้งหมดเชิญที่ห้องปกครองด้วยค่ะ ย้ำอีกครั้ง....อาจารย์ จาง อี้ชิง....ฯลฯ’
เสียงประกาศไม่โครโฟนของเลขานุการโรงเรียนทำให้เขาหยุดชงัก อี้ชิงคิดว่ายามคงจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้อง ผอ.แล้ว ตอนนี้ในหัวของจางอี้ชิงไม่มีอะไรทั้งสิ้น เขาแทบจะไม่นึกถึงตัวเอง สิ่งที่เขาจะทำต่อไปคือขึ้นไปขอโทษแทนเด็กๆทุกคนแล้วเอาหน้าไปรับสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับครูคนอื่นๆ เพราะถ้านักเรียนของเขาโดนลงโทษอี้ชิงจะต้องโดนเกลียดย่างไม่รู้จบสิ้น เขาไม่ต้องการอีกแล้ว...แค่นี้ก็ทรมานมากพอจนแทบจะร้องไห้สอนหนังสือ
ในขณะที่หันหลังกำลังจะเดินลงบันไดสายตาก็ดันไปพบกับสามนักเรียนตัวก่อเรื่องเมื่อคืนที่ยังยืนขำอย่างไม่ทุกข์ร้อน อี้ชิงเลือกที่จะหลบเลี่ยงการพูดคุยแล้วเดินหนีไปแทนแต่ถึงกระนั้นคำพูดถากถางก็ยังตามถึงในรูหู
“ปากไวใช้ได้ อย่างงี้ต้องให้โม๊ค” คำพูดของเซฮุนเรียกเสียงหัวเราะดังครืนจากกลุ่มเพื่อนคนอื่นๆได้อย่างดี อี้ชิงพยายามไม่สนใจมันและเดินลงจากตึกเรียนเพื่อไปห้องปกครองถึงแม้จะรู้ตัวว่ามีใครบางคนเดินตามมาด้านหลัง
“รีบจังเลยครับ กลัวไปฟ้องผอ.ไม่ทันหรอ” เสียงของอี้ฟานดังอยู่ไม่ไกล ถึงอี้ชิงอยากจะหลีกเลี่ยงแต่เขาจะไม่หลีกหนี...เขาหันหลังไปเพชิญหน้ากับเด็กหนุ่มรักษาท่าทีเอาไว้ไม่ให้หลุดความอ่อนแอออกไป
“เธอก็ควรจะขึ้นไปพร้อมกันนะ จะได้ไปขอโทษครูใหญ่พร้อมๆกัน เผื่อครูจะช่วยแก้ตัวให้ได้” อี้ชิงไม่พูดว่าจะให้อี้ฟานขอโทษตัวเองเพราะเขาไม่ต้องการมัน และไม่ได้นึกถึงตัวเองแม้แต่นิดเดียว
เขายังเสียสละไม่มากพอจะเป็นที่รักของนักรียน....ต้องทำให้มากอีก….
“เป็นคนดีขนาดนั้นเลย? งั้นก็ดี เห้ย! เซฮุน ไอ้ไค ไปห้องปกครอง” คริสกล่าวอย่างท้าทายพร้อมกับจ้องลงไปในดวงตาที่บวมช้ำ เขาอยากจะรู้ว่าอาจารย์ใหม่ตรงหน้าจะทำได้ตามที่พูดจริงหรือป่าว
“งั้นก็ไปสิ” คนตัวเล็กตัดบทสนทนาแล้วเดินนำไปก่อนโดยที่ไม่รอเหล่านักเรียน เพราะเวลาที่เห็นหน้านักเรียนพวกนี้มันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากกว่าจะเป็นความรู้สึกปริ่มใจ ทรมานร้าวรานไปทั้งอกกับการไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวัง...
.
.
.
.
.
.
“จะให้ฉันโทรเรียกผู้ปกครองมาวันนี้เลยหรือจะให้ส่งจดหมายไปแจ้งก่อน” เสียงเข้มเอ่ยอย่างหนักแน่นท่ามกลางความตรึงเครียดในห้องปกครอง ฮันโจได้รับเรื่องว่ามีอาจารย์ถูกเด็กนักเรียนแกล้งขังในห้องเก็บของจนเป็นเรื่องใหญ่โตแล้วตอนนี้คู่กรณีทั้งสีคนก็มายืนตัวลีบอยู่ในห้องของเขาแล้ว
“ผอ.ครับพวกเขายังเด็กอยู่ อย่าให้เรื่องถึงผู้ปกครองเลย ผมสัญญาว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก” ภายในห้องเงียบๆที่มีพียงสียงแอร์ตัดทำงานเป็นระยะ นักเรียนสามคนยืนนิ่งไม่พูดอะไรนอกจากตอบคำถามตามที่อาจารย์ใหญ่และครูประจำชั้นถาม อี้ชิงรู้สึกกดดันและตรึงเครียดราวกับอนาคตถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย ถ้าเขาเกลี่ยกล่อมให้ครูใหญ่ยกเลิกการเรียกผู้ปกครองได้มันอาจทำให้เขาชนะใจเด็กทั้งสามคนแล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น อี้ชิงไม่อยากถูกเกลียด...เขาไม่อยากให้นักเรียนมองว่าเขาอ่อนแอและปกป้องนักเรียนไม่ได้ รวมถึงยังไม่รักษาสัจจะและไม่มีความเสียสละอีกด้วย...
“นี่ไม่ใช่เด็กแล้วอี้ชิง พวกนี้ตัวแสบทั้งนั้นแล้วคนที่โดนแกล้งก็เป็นเธอเอง มันต้องเอาซะบ้าง อย่าให้กำเริบหนัก” ครูใหญ่กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง ในขณะที่อี้ฟานแค่ยิ้มเยาะออกมาเท่านั้น แน่นอนว่าอี้ชิงเองก็สังเกตุเห็นรอยยิ้มนั้น...รอยยิ้มดูถูก... อี้ฟานกำลังคิดว่าเขาทำไม่ได้แน่เพราะครูใหญ่ดูจะต้องการเอาเรื่องนักเรียนของเขาเหลือเกิน
“พ่อแม่ผมอยู่จีน” อี้ฟานเอ่ยขัดขึ้นมาเหมือนจะเป็นการบอกกลายๆว่าการเอาผู้ปกครองของเขามาเกาหลีไม่ใช่เรื่องง่าย คล้ายเป็นการกดดันอี้ชิงทางอ้อมก็ไม่เชิง
“ผมไม่เป็นไรครับ พวกเขาแค่เล่นสนุกกับรู้เท่าไม่ถึงการมันเลยเหมือนเป็นเรื่องใหญ่โตแต่ว่าผมจะอบรมเอง ให้โอกาสผมพิสูจน์ตัวเองสักครั้งเถอะครับ” จาง อี้ชิงโค้งตัว90องศาเป็นการขอร้อง ยังไงเขาก็ต้องทำให้นักเรียนพ้นผิดให้ได้
อี้ฟานดูจะตลกกับคำพูดของอาจารย์ใหม่เหลือเกินถึงขนาดหัวเราะหึเบาๆในลำคอ ไม่เป็นอะไรอย่างนั้นหรอ พูดไปได้ไม่นึกสภาพตัวเองเมื่อคืน….
“แน่ใจหรอว่าไหว” โซราถามด้วยความเป็นห่วง เธอรู้จักเด็กแก๊งนี้ดี ดีโอ เซฮุน ไค ชานยอล แบคฮยอน เทา เหล่าเด็กแสบที่หาเรื่องไม่เว็นแต่ละวันตั้งแต่เทอมแรก ก็แต่ละคนรวยระดับเจ้าของบริษัททั้งนั้นเกิดมาพ่อแม่ใหญ่โตไม่เคยกลัวใคร สร้างปัญหาไม่หยุดหย่อน
“ไหวครับ ผมจะดูแลให้ได้” อี้ชิงยืนยันหนักแน่น
“งั้นก็เขียนสมุดพกรายงานพฤติกรรมด้วย หักคะแนนความประพฤติซะ ยังไงถ้าคะแนนความพฤติไม่ครบพวกเธอก็ไม่มีสิทธิ์สอบเข้าใจไหม” ผอ.หันไปกล่าวกับอาจารย์ใหม่แต่ประโยคหลังเขาหันไปบอกกับนักเรียนสามคนที่ยืนทำหน้าไม่พอใจอยู่อย่างเปิดเผย
“ครับ” ทั้งสามตอบอ้อมแอ้มออกมาพร้อมกัน ดูเหมือนเซฮุนกับไคจะไม่ชอบใจมากที่สุดส่วนอี้ฟานแค่สบถงึมงัมออกมาเบาๆ เพราะว่าใบหักคะแนนความประพฤติที่พวกเขาได้มาตั้งแต่เทอมหนึ่งมันติดลบจนไม่เหลือแม้แต่สิทธ์จะเรียนต่ออยู่แล้ว ที่จริงมันก็พอเหลืออยู่บ้างแต่พวกเขาโดน จาง อี้ชิง หักมันเรียบภายในเวลาแค่4วันจนไม่เหลือออะไรเลย...
“ขอบพระคุณมากครับ” คนตัวเล็กกล่าวอย่างนอบน้อมและความหวังลึกๆในใจที่จะเปลี่ยนทัศนคติของเด็กทั้งห้องก็เกิดขึ้น อี้ชิงโค้งสุดตัวแสดงความขอบคุณท่ามกลางสายตาปลงตกของครูชั้นผู้ใหญ่ทั้งสอง
“ไปเถอะ ยังไงถ้าไม่ไหวก็บอก” อาจารย์โซราขยับแว่นพร้อมกับถอนหายใจ เธอยอมใจของคุณครูใหม่คนนี้แต่ก็ไม่คิดว่าจาง อี้ชิงจะจัดการเด็กพวกนี้ได้เพราะที่อยู่มาตั้งแต่ ม.1 ก็ไม่มีใครจัดการเด็กก๊วนนี้ได้เลย
“ขอบคุณครับ” อี้ชิงโค้งครั้งสุดท้ายแล้วยืนรอให้เด็กนักเรียนของเขาโค้งตามก่อนจะพากันเดินออกไปจากห้องปกครอง ทันทีที่ประตูกระจกปิดลง โอ เซฮุน ก็เดินเข้ามาผลักไหล่อี้ชิงอย่างแรงจนคนตัวเล็กถึงกับเหวอผงะ...
เซฮุนกำลังไม่พอใจอะไรอีก...
“เหอะ มาอยู่โรงเรียนสี่วันหักคะแนนพวกกูหมดจนไม่มีสิทธิ์สอบ เป็นไง ได้ใช้อำนาจครูสมใจเลย เพราะงี้ไงกูถึงเกลียดมึง” พอว่าแล้วก็หันหลังเดินหนีไปกับเพื่อนอีกสองคนโดยที่ทิ้งจางอี้ชิงเอาไว้ให้ดิ่งตกลงไปในเหวแห่งความผิดหวัง เสียใจ เสียความรู้สึก....ที่ทำมาไม่มีความหมายเลยอย่างนั้นหรือ... ไม่เห็นความตั้งใจของเขาเลยใช่ไหมว่าที่ทำทั้งหมดเพราะใครกัน ที่ยอมเอาหน้าตัวเองไปสัญญาสัจจะ ยอมโดนแกล้งเพื่อหวังจะชนะใจนักเรียน...ที่ทำมานี้เพื่อใครกัน...
ขอบตาร้อนผ่าวน้ำตาจวนเจียนจะไหล เขาต้องไปหาที่หลบร้องไห้ก่อนจะเข้าโฮมรูมเดี๋ยวนี้ไม่อย่างนั้นตอนสอนอาจจะเผลอน้ำตาไหลออกมาก็ได้ แค่ทรมาน...เจ็บปวด...สิ้นหวังและอ้างว้าง....ยังไงจางอี้ชิงก็ต้องทนให้ได้...
หลังจากที่สอนภาษาจีนห้อง9เสร็จจางอี้ชิงก็กลับมานั่งที่ห้องเพราะตอนนี้นักเรียนห้องเขาลงไปเรียนวิทยาศาสตร์ที่ห้องทดลองทำให้ห้องว่างจนกว่าจะถึงวิชาช่วงบ่าย เขาเดินไปนั่งบนโต๊ะที่มีชีทงานวางอยู่ไม่มากก่อนจะหยิบปากกาในกล่องมาเตรียมจะตรวจงาน เพราะการเขียนภาษาจีนค่อนข้างยากทำให้ชีทงานมีน้อย....นั่นไม่ใช่เหตุผลแต่หลายคนไม่ส่งงานเพราะขี้เกียจทำและทำไม่ได้ อี้ชิงก็คงทำได้แค่กรอกเลข0ลงในใบคะแนนสะสมผลงานเท่านั้นใครส่งงานมาจะถูกผิดมากน้อยอี้ชิงถือว่าทำ เขาจะให้คะแนนเต็ม10กับทุกคนที่ส่งงาน
กระดาษถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เขามีความสุขกับการตรวจแผ่นงานได้คอยดูข้อผิดพลาดของนักเรียนแต่คนและจดทริคเล็กๆให้ด้วยทุกคน เขาไม่เคยตรวจงานผ่านๆส่งเดชหรือไม่ตรวจถึงจะยากแค่ไหนก็ไม่เปิดผ่านเด็ดขาด งานวันนี้ค่อนข้างยากทำให้หลายคนทำผิดกันเต็ม แต่น่าแปลกที่กระดาษที่อี้ชิงกำลังตรวจอยู่นั้นทำถูกหมดทุกข้อทั้งลายเส้นก็ยังสวยไม่ผิดหลักถึงตัวอักษรจะยึกยือขี้เหล่ มันทำให้อี้ชิงอดชื่นชมไม่ได้จนต้องมองชื่อที่หัวกระดาษ พลันรอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า อี้ชิงรู้สึกว่าน้ำตาของเขามันจวนเจียนจะไหลออกมา
‘อู๋ อี้ฟาน ส่งการบ้านวิชาภาษาจีน’
ตัวอักษรจีนย่อเล็กๆที่ถูกเขียนอยู่มุมกระดาษทำให้เผลออ่านไม่ได้ ข้อความที่เขียนถึงจางอี้ชิงโดยตรงจากอู๋อี้ฟาน
‘เลิกเรียนไปเจอที่ห้องน้ำตึกbหน่อย อยากคุยด้วย’
อี้ชิงไม่รู้ว่าที่เขาทำมาถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่แต่มันถือเป็นสัญญาณดีสำหรับเขา อยากน้อยอี้ฟานก็ยอมคุยด้วยไม่ว่าเรื่องอะไรที่เคยทำหรือเขาจะเคยโกธรแค่ไหนแต่ในตอนนี้ถ้าถามว่าถ้าอี้ฟานขอโทษเขาพร้อมจะให้อภัยเขาตอบได้เต็มปากว่าพร้อม... ไม่ใช่แค่เรื่องนี้แต่กับทุกๆเรื่องที่เคยเกิดขึ้น พร้อมจะผูกมิตรและทุกๆอย่าง ตอนนี้รู้สึกตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหวเขาอยากจะให้ถึงช่วงเวลาเย็นไวๆเพราะภาคบ่ายไม่มีสอนต่อ อี้ชิงทำได้แค่อถิฐานให้ทุกอย่างดีขึ้น ขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาส ขอบคุณอี้ฟานที่เห็นความตั้งใจของเขา.....
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ยกนาฬิกาข้อมือดูรอบที่เท่าไหร่แล้วจำไม่ได้ แต่ตอนนี้อี้ชิงกำลังรอให้อี้ฟานมาพบเขาตามที่นัดไว้ อี้ฟานบอกแค่ว่าหลังเลิกแต่ไม่บอกว่ากี่โมงเขาเลยทำได้แค่ยืนรอนั่งรอจนกว่าอีกฝ่ายจะมา ตอนนี้สี่โมงเย็นแล้วฟ้ายังโปร่งอยู่แต่ถ้าช้ากว่านี้อาจจะคุยกันได้ไม่นานนักเพราะเขาไม่อยากพลาดรถไฟฟ้ารอบห้าโมงครึ่ง และระหว่างทางจะแวะดูซากุระเกาหลีที่ผลัดใบในสวนสาธารณะด้วย เขาอยากจะดูมันสักครั้งในชีวิตก่อนตายเพราะว่าอี้ชิงไม่เคยมีโอกาสได้ไปญี่ปุ่นและคิดว่าคงไม่มีวันได้ไป ที่จริงที่หลังโรงเรียนก็มีต้นนึงแต่ดอกมันไม่ผลิและยังไม่ผลัดใบแถมยังไม่มีใครสนใจมันด้วย ก็อย่างว่าหละ ซากุระที่ถูกปลูกจัดแต่งในสวนน่าดูกว่าเป็นไหนๆ
คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้ไม่นานอิ้ชิงก็มองเห็นเด็กหนุ่มตัวสูงเดินอาดๆเข้ามาในสภาพที่ไม่ใส่เสื้อสูทแถมชายเสื้อยังอยู่นอกกางเกงอีกด้วย ว่านี่เป็นเวลาเลิกเรียนแล้วเขาจะไม่ต่อว่าเด็กนักเรียนเด็ดขาด
“ไง ไม่คิดว่าจะกล้ามา” เป็นคำทักทายที่ไม่ดีเท่าไหร่สำหรับครูและนักเรียน แต่อี้ชิงไม่อยากสนใจมันเช่นกันเขาเลือกที่จะยิ้มน้อยๆที่มุมปากแสดงความเป็นมิตรแต่ไม่ได้ตอบอะไรกะให้อีกฝ่ายเปิดประโยคสนทนาขึ้นมาเอง ทว่ามีเพียงเสียงหัวเราะหึเบาๆในลำคอก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะคว้าข้อมือเขาแล้วดึงเข้าไปในตัวอาคารห้องสุขาก่อนจะผลักเขาเข้าไปในห้องส้วมอย่างแรงจนหลังกระแทกกับผนัง
ฉับพลันความตกใจแล่นพล่านไปทั่วร่างกาย ความกลัวที่ฝั่งไว้ในใจเริ่มแสดงอาการ อี้ชิงกำลังกลัวว่าจะโดนแกล้งอีก...
“ทำอะรหนะ..” มือของเขารนรานไปหมดพยายามจะผลักตัวอีกฝ่ายออกไปให้พ้นแต่คนตัวสูงกลับเอาตัวเองมากดทับร่างของเขาไว้แน่น ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นบีบสันกรามอย่างแรงดวงตาดุดันจ้องมองอย่างเอาเรื่องก่อนที่ริมฝีปากบางเฉียบจะขยับเอื้อนเอ่ย
“รู้อะไรไหมว่าถ้าพ่อฉันรู้ว่าฉันโดนหักคะแนนจนไม่มีสิทธิ์สอบจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมฟังดูโหดเหี้ยมแต่สำนวนกลับดูทีเล่นทีหยอกอย่างคาดเดาไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์ใหน
กระพุ้งแก้มของเขาถูกบีบแน่นจนติดกับแนวฟันกรามมันทั้งเจ็บและปวดไปหมด แต่ความทรมานทางร่างกายไม่สู้ความกลัวและความเจ็บปวดในจิตใจ...โดนหลอกมาแกล้งอีกแล้ว แต่คราวนี้เขากำลังโดนทำร้ายร่างกาย... จากนักเรียนที่คิดว่าอยากจะสานสัมพันด้วย...
“ฉันแค่อยากจะสั่งสอนแก...ว่าอย่าซ่าแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ!” อี้ฟานใช้มือข้างนึงถอดเน็กไทตัวเองออก พร้อมกับล้วงหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าอี้ชิงก่อนจะหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ขึ้นมาแล้วยัดมันเข้าไปในปากคนตัวเล็กแล้วใช้จังหวะอันว่องไว้ใช้เน็กไทมัดปากคาดทับเอาไว้กันอีกคนส่งเสียง
อี้ชิงดิ้นเร่าไปมาเขายกมือทุบอกนักเรียนตัวสูงเป็นระวิง น้ำตาไหลออกมาด้วยความหวาดกลัวที่มีทั้งหมด อี้ชิงไม่อยากโดนทำร้ายอีกแล้ว เขาจะไปจากที่นี่ไปให้พ้นแค่ขอให้ได้พูด อี้ชิงสัญญาว่าจะไม่กลับมาเป็นครูที่นี่อีกแต่ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่เป็นอุปสรรคเหลือเกินทั้งเน็กไทถูกคาดเอาไว้
แค่นี้ก็กลัวเหลือเกินแล้ว...... อี้ชิงไม่อยากอยู่ที่นี่อีก.... ไม่อยากจะเป็นครูอีกแล้ว.....
อี้ฟานพลิกร่างของเขาให้หันหน้าเข้าโถ่ส้วมใช้ฝ่ามือแข็งแรงจิกกระชากผมแล้วกระแทกลงบนแท๊งค์ชักโครกอย่างแรง ก่อนจะกดหัวเขาลงบนฝาชักโครก เสียงหัวเราะน่าขยะแขยงที่ฟังกี่ทีก็รู้สึกไม่สงบและหวาดกลัว อี้ฟานโน้มตัวทับเขาก่อนจะกระซิบน้ำเสียงแหบพร่าที่กกหูอย่างชวนสยอง
“อย่าเสล่อมายุ่งวุ่นวายกับพวกกู มึงไปซะ จะย้ายหนีไปตายที่ไหนก็ไป...”
อี้ฟานกำลังโกธร....ถ้าพ่อของเขารู้ว่าเทอมนี้เขาไม่มีสิทธิ์สอบมีหวังเขาต้องกลับจีนไปให้ใครต่อใครในเครือญาติดูถูกแน่ แค่ทุกวันนี้ที่อี้ฟานโดนพ่อแม่โทรมาด่าโทรมาข่มขู่ดูถูกทุกวันเพราะผลการเรียนมันก็เกินพอแล้ว อี้ฟานเกลียดโรงเรียน...เกลียดคุณครูที่ดีแต่ข่มขู่และใช้อำนาจ อยากได้แต่เงินเดือนและไม่เคยเข้าใจพวกเขาเลย…
“อื้อ!!”
มือสอดนิ้วหัวแม่โป้งเข้าไปในขอบกางเกงยีนส์ตัวหลวมก่อนที่จะออกแรงทั้งหมดถกมันทั้งเข็มขัดและชั้นในให้ล่นลงจนเห็นสะโพกขาวหมิ่นเหม่ อี้ฟานใช้มือข้างนึงรวบแขนอี้ชิงเอาไว้ทั้งสองข้างในขณะที่อีกมือก็ถกกางเกงเป็นพัลวันจนกระทั่งมันหลุดออกไปกองที่หัวเขา เสียงหัวเราะสะใจดังขึ้นเบาๆอย่างไม่อ่อนไหวกับเสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องอู้อี้ของคนตรงหน้าเลย..
เหมือนหัวใจจะขาดลงไปทุกที....ทันทีที่กางเกงหลุดพ้นสะโพกอี้ชิงก็รู้ชะตากรรมตัวเองล่วงหน้าและเขาทำได้แค่ภาวนาอย่าให้มันเกิดขึ้น ความกลัวของเขามันถึงขีดสุดจนกว่าจะทนได้ น้ำตามากมายไหลไม่พอระบายความอัดอั้น เสียงคำรามกรีดร้องอู้อี้ไม่เคยได้รับฟัง สัมผัสหยาบโลนที่บีบคลึงที่สะโพกทำให้อี้ชิงรู้สึกขยะแขยงและต่อต้าน ขนทั่วร่างกายของเขาลุกชันอย่างขลาดกลัว เสียงรูดซิปดังแคว้กดังกรีดหัวใจและดับเทียนความหวังจนสิ้นซาก
ความเจ็บปวดมหาศาลเกิดขึ้นจากบั้นท้ายรามไปถึงจิตใจ....อี้ชิงกำลังถูกข่มขืนอย่างหนักหน่วงจนช่องทางฉีกขาดเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสทั้งร่างกายจิตใจ...พังยับเยินทุกสิ่งอย่าง ทั้งความหวัง ความฝันทุกอย่างในชีวิตไม่เหลืออะไรให้ภูมิใจและอดทนอีกแล้ว ทำไมใจร้ายแบบนี้ ทำร้ายร่างกายของเขา ย่ำยีความฝันของครูตัวเล็กๆ.....
จาง อี้ชิง ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว.......
“เห้ยคริส! ไอ้อี้แม่งย้ายออกไปแล้วหรอวะ กูเห็นไม่มาสอนแม่งสองวันและ” ชานยอลเดินมาเกาะบ่าเพื่อนสนิทอย่างคุ้นเคย ตั้งแต่วันนั้นที่คริสหรืออี้ฟานถูกเรียกขึ้นไปห้องปกครองเขาก็ไม่เห็นอาจารย์จางอี้ชิงอีกเลยจนล่วงเวลามาสองวันแล้ว
“ไม่รู้ว่ะ สงสัยออกไปแล้ว..” คริสตอบอย่างไม่มั่นใจ อี้ชิงหายไปตั้งแต่วันที่เขาจัดการข่มขืนคนตัวเล็กซะจนยับเยินแล้วทิ้งไว้ที่ห้องน้ำ พอตอนหัวค่ำเขาแอบย่องกลับเข้าไปดูอีกทีก็ไม่เจอใครแล้วเห็นแต่กระเป๋าที่เจ้าตัวใช้ประจำ คริสคิดว่าอี้ชิงคงจะหนีไป
“หึๆ” เซฮุนยกยิ้มอย่างพอใจ เขาพอจะรู้ว่าเพื่อนตัวเองไปทำอะไรเอาไว้บ้าง ป่านนี้ครูนั่นคงหรีเตลิดไปไหนต่อไหนไม่กลับมาที่โรงเรียนนี้อีกแน่
“ก็ดี” ชานยอลยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะเมื่อเห็นว่าหัวหน้าเดินเอาสมุดพกมาแจกไปให้ผู้ครองเซ็นรับทราบในพฤติกรรมของทุกคน สมุดเล่มแล้วเล่มเล่าถูกแจกจนหมด คริสกับเซฮุนไม่แม้แต่จะเปิดมันให้เสียอารมณ์ถ้าไม่ติดว่าจงอินที่นั่งอยู่ข้างหลังเขยื้อนตัวมาสะกิดไหล่ให้หันไปมอง
“คริส มึงดูสมุดพกยัง” จงอินขมวดคิ้วทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนตัวสูงเบ้ปาก เขาจึงหันสมุดหน้ารายงานพฤติกรรมล่าสุดและตารางคะแนนความประพฤติให้เพื่อนดู
‘คิม จงอิน ถนัดวิชาพละ ตั้งใจเรียนดี พฤติกรรมดีขึ้น ลงชื่อ จาง อี้ชิง’
คริสอ่านข้อความในสมุดแล้วขมวดคิ้วอย่างสับสน เมื่อสองวันก่อนเขากับจงอินเพิ่งได้รับใบหักคะแนนจากอี้ชิง แต่ในนี้ไม่มีลงบันทึกเอาไว้แถมคะแนนยังเพิ่มขึ้นมาและเขียนรายงานพฤติกรรมไปในทางที่ดีอีกด้วย เมื่อนึกได้ดังนั้นอี้ฟานจึงหันไปหยิบสมุดพกตัวเองขึ้นมาเปิดดูบ้าง เขาไล่สายตาไปยังการจดบันทึกล่าสุดทันทีอย่างไม่รอช้า
‘อู๋ อี้ฟาน ทำแบบทดสอบภาษาจีนและภาษาอังกฤษได้ดีมาก ลงชื่อ จาง อี้ชิง’
แค่นั้นสำหรับข้อความทั้งหมด... ไม่มีการจดบันทึกตามที่ให้ใบหักคะแนนพวกเขามา แม้แต่เซฮุนที่เห็นเพื่อนหยิบสมุดพกมาดูเลยเปิดดูบ้างด้วยความสงสัยก็ยังแปลกใจ ไม่มีใครมีความผิดหรือโดนหักคะแนนตามที่เห็นกันในใบสั่ง...อี้ชิงไม่ได้ทำให้พวกเขาหมดสิทธิ์สอบ... ไม่ได้ทำลายอนาคตอี้ฟานและคนอื่น.ๆ...
“โหย... อาจารย์นี่ก็ดีเหมือนกันว่ะ เพิ่มคะแนนสมุดพกให้ด้วยแถมรายงานแต่เรื่องดีๆ งี้กูก็กล้าเอาไปเปิดให้แม่ดูละ” เสียงเพื่อนคนนึงดังขึ้นในห้องและตามด้วยเสียงคนอื่นๆที่พูดคุยในหัวข้อเดียวกัน อี้ฟานหันไปมองหน้าเซฮุนแต่อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
ความรู้สึกผิดเล็กๆกัดจิตใจของ อู๋ อี้ฟาน.... อี้ชิงไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด ไม่เคยเป็นเหมือนครูพวกนั้น และไม่มีทางเป็น...
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดข้อความส่งไปยังหมายเลขที่แอบบันทึกเอาไว้ตอนอยู่ที่ห้องน้ำก่อนจะกดส่งไปอย่างรวดเร็ว...คริสไม่คิดว่า ‘อาจารย์อี้ชิง’ จะรับฟังสิ่งที่เขาเสนอไปหรือไม่ บางทีอาจจะหนีไปที่อื่นแล้วถ้าโดนทำร้ายขนาดนั้นคงไม่กล้าอยู่หรือกลับมาที่นี่อีก...
‘ผมรู้แล้ว อยากขอโทษ เย็นนี้ไปเจอกันที่ต้นซากุระหลังโรงเรียน’
คริสไม่รู้ว่าอี้ชิงจะได้อ่านข้อความของเขาและไปตามนัดหรือไม่แต่ยังไงเย็นนี้เขาจะไปรอจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน....
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เวลาสามโมงเย็นหลังเลิกเรียน วันนี้อี้ชิงไม่มาสอนเหมือนเมื่อวานและวันก่อนแถมไม่โทรมาลาหยุด ไม่มีใครรู้ว่าคุณครูคนใหม่พักอยู่ที่ไหนจึงได้แต่รอให้อีกฝ่ายติดต่อกลับมา เขายังนั่งเอื่อยอยู่ในห้องด้วยความสำนึกผิด พอเพื่อนๆทุกคนลุกไปหมดถึงได้ลุกเดินออกจากห้องไป เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหลายรอบหวังว่าอี้ชิงจะตอบกลับแต่ก็ไม่ สุดท้ายเลยกะว่าจะเดินไปรอที่นัดหมายแทน
“จะไปไหนวะวันนี้” ชานยอลเดินเข้ามากอดคอเขาเหมือนที่ชอบทำ แต่คริสไม่มีอารมณ์เล่นด้วยเท่าไหร่
“นัดอี้ชิงเอาไว้ จะไปขอโทษเขา”
“เออ เป็นคนดีก็เป็นด้วยว่ะมึงเนี่ย กูฝากขอโทษด้วย ยังไงบอกแกพรุ่งนี้รีบมาสอนกูอยากบอกด้วยตัวเอง” ชานยอลยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อไม่เห็นว่าเพื่อนตัวสูงไม่พูดอะไรต่อเขาจึงโบกมือลาก่อนเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่
อี้ฟานเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเขาเดินเลาะไปตามตึกเก่าแม้จะเดินไปยังไม่ถึงก็ได้กลิ่มหอมดอกซากุระมาแต่ไกล มันคงจะออกดอกแล้วเหมือนกับต้นอื่นๆและคงจะสวยไม่แพ้กัน เขาเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นเดินเข้ามาถึงลานโล่งที่มีต้นซากุระต้นใหญ่ผลิดอกออกบาน ผลัดใบอย่างสวยงาม..
พร้อมกับร่างกายขาวซีดที่ห้อยอยู่กับกิ่งไม้โดยที่มีเชือกป่านผูกที่ต้นคอ...
...ร่างของอาจารย์ จาง อี้ชิง.....
“ม....ไม่....” อี้ฟานอ้าปากค้าง แข้งขาอ่อนเรี่ยวแรงจนล้มทรุดลงไปกับพื้น อี้ชิงผูกคอตายใต้ต้นซากุระที่ผลิบาน และยังอยู่ในชุดเมื่อสองวันก่อน... ...จางอี้ชิงผูกคอตายตั้งแต่คืนที่โดนอี้ฟานข่มขืน...
ลาจากโลกนี้พร้อมกับความสิ้นหวังทั้งที่ยังไม่ได้ยินแม้แต่คำว่า ‘ขอโทษ’ หรือคำว่า ‘เหล่าซือ’ จากปากของเหล่านักเรียน…
หัวใจของอี้ฟานบีบแน่น มันหนักอึ้ง ช็อค ตกใจ เสียใจ ประปนกันไปหมด น้ำตาของเขาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นเสียงสะอึกสอื้นจนสุดใจ เพราะความอคติ ความคึกคะนองเอาแต่ใจทำให้อี้ฟานคนนี้ฆ่าคนบริสุทธ์ให้ตายด้วยน้ำมือของเขาเอง อาจารย์จางอี้ชิงที่น่าสงสาร...
“ผมขอโทษ...ฮึก...อาจารย์...ผมขอโทษ...”
ไม่ได้ยินอีกแล้ว เพราะจางอี้ชิงได้จากไปตลอดกาล....
อี้ฟานไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียมากขนาดนี้ เขาไม่เคยรู้ว่าจางอี้ชิงบอบบางจนทำลายได้ง่ายเหลือเกิน อี้ฟานไม่ได้ต้องการให้เกิดโศกอนาถกรรม..... เขาคาดไม่ถึงว่าจะต้องมีใครคนนึงสูญเสียชีวิต....เสียสละทุ่มเทจิตวิญญาณแต่ทว่ากลับถูกทำลาย... เอาอาจารย์จาง อี้ชิง คืนมาไม่ได้อีกแล้ว...เพราะเขาเอง...เพราะอี้ฟานที่เป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น เขาเป็นคนตัดฟางชีวิตเส้นสุดท้ายของคุณครูผู้น่าสงสาร....
“ผมขอโทษ...”
...Sayonara Zhang Yifing Sensei....
.....ลาก่อนคุณครูผู้สิ้นหวัง ลาก่อน จาง อี้ชิง.....
บอกเลยครับ ตับผมพัง อะไรจะเศร้าได้ขนาดนี้ // ซับน้ำลาย เอ้ย!! น้ำตา แปป
ตอบลบ