เคยไหม.... รู้ตัวว่าหึงหวง รู้ตัวว่างี่เง่า รู้ตัวว่าไม่มีเหตุผล แต่ก็แก้ไขนิสัยเสียเหล่านี้ของตัวเองไม่ได้
ทั้งๆที่จริงๆแล้วอี้ชิงเองก็ไม่อยากหึง....
“พี่ก็บอกไปแล้วไง น้องเขาขอให้ไปช่วยจัดเวทีที่คณะเฉยๆ” เสียงทุ้มกล่าวออกมาอย่างใจเย็นพร้อมกับเจ้าของเสียงที่เดินไปนั่งบนโซฟาสีฟ้ากลางห้อง คริสหยิบรีโมทข้างลำตัวขึ้นมาปิดโทรทัศน์ก่อนจะหยิบหมอนอิงหลังโยนไปไว้ที่สุดขอบโซฟาแล้วเอนตัวราบลงนอนฟังแฟนคนสวยพูดจาหาเรื่องไม่หยุด
“ห้าทุ่มเนี่ยนะ พี่จะบ้าหรือไง ถึงไปจัดโรงละครจริงมันก็ไม่สมควรแล้ว” อี้ชิงโยนโทรศัพท์สมาร์ทโฟนสีดำใส่คนตัวสูงที่นอนไม่ทุกข์ร้อนอยู่บนโซฟาจนมันเกือบจะกระเด้งตกพื้นถ้าคริสยกมือขึ้นรับเอาไว้ไม่ทัน
“อย่าพาลกับของสิอี้ชิง” คริสว่าเสียงดุอย่างไม่จริงจัง
“พี่ก็เป็นแบบนี้ทั้งปีทั้งชาติ ถ้าอยากจะเป็นคนของสาธารณะนักก็ไปอยู่กับพวกนั้นเลยไป” อี้ชิงขมวดคิ้วพูดสบัดเสียงก่อนจะเดินไปหยิบเอากระเป๋าสะพายของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะเตรียมจะเดินหนีออกไปจากห้องถ้าไม่ติดว่าเสียงทุ้มดังขึ้นฉุดเอาไว้
“อี้...ไม่พอใจก็คุยกันดีๆก็ได้ ทำไมต้องโวยวายต้องตะคอกเสียงดังด้วย แล้วดูไปเหวี่ยงใส่เด็กคณะพี่แบบนี้ทำไมไม่คิดถึงพี่มั่งว่าจะทำหน้ายังไงเวลาเจอเพื่อน” คริสยันตัวเองขึ้นจากโซฟาพร้อมกับหันไปพูดกับคนรักที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและตั้งท่าจะเดินหนีเหมือนทุกครั้ง
คริสไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาอี้ชิงหึงแล้วต้องทำหงุดหงิดโอเวอร์ กระแทกข้าวของ ส่งสายตาจิกกัดไปทั่ว ทั้งๆที่มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำในที่สาธารณะหรือทำกับคนที่ไม่รู้จัก ถ้าหึงหรือไม่พอใจก็เอาไว้คุยกันสองคนก็รู้เรื่อง ไม่เห็นต้องโวยวายให้ใครต่อใครเขาเห็นไปทั่วเหมือนที่ทำวันนี้
“ทำไม! พี่กลัวใครเขารู้หรือไงว่าพี่มีแฟนงี่เง่า” อี้ชิงขึ้นเสียงมากขึ้นไปอีกตามนิสัยปากไม่ยอมแพ้และเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ถ้าคริสไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องวีนต้องเหวี่ยง อี้ชิงเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคริสจะต้องทำใจดีให้คนนั้นคนนี้เกาะแกะไปทั่ว เขาผิดหรอที่จะจิกตาใส่คนที่เดินเข้ามาเกาะแขนแฟนของเขา ผิดหรือป่าวที่ชักสีหน้าแสดงท่าทางไม่พอใจใส่ใครต่อใครที่เข้ามาวุ่นวายกับคริส
“เฮ้อ... มานั่งคุยกันดีๆเถอะ ทำแบบนี้พี่ลำบากใจนะ...” คริสไม่ได้ตะคอกหรือขึ้นเสียงใส่อี้ชิงเพราะเขาไม่ได้รู้สึกโกรธหรือโมโห สิ่งที่เขารู้สึกตอนนี้มันเรียกว่าเป็นอารมณ์เบื่อหน่ายผสมกับความไม่พอใจนิดๆมากกว่า อี้ชิงชอบโวยวาย พูดจาเสียดสีหรือทำท่าไม่พอใจใส่อารมณ์ต่อหน้ารุ่นน้องที่เข้ามาคุยกับเขาบ่อยๆ และก็เป็นแบบนี้หลายครั้งถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เทลาะอะไรกันรุนแรงแต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เรื่อยๆมันก็มีแต่จะทำให้ตัวเขาแย่ลง
รุ่นน้องก็คงไม่กล้ามาปรึกษาเหมือนทุกทีแล้วคริสจะเป็นรุ่นพี่ที่ดีได้ยังไง อีกอย่างนึงคริสก็ยอมรับด้วยว่าเขาอายที่อี้ชิงทำแบบนี้แล้วทุกคนมองว่าเขาเป็นพวกยอมแฟน ไม่ใช่ว่ากลัวเสียศักดิ์ศรีหรือยังไงแต่บางทีเขาก็รู้สึกเหมือนเป็นที่รองรับอารมณ์
“ชิ...” อี้ชิงจิ๊ปากอย่างไม่ค่อยพอใจเกินจะเดินกระแทกเท้ากลับไปนั่งที่โซฟาข้างๆคนตัวสูง ทั้งๆที่คิดว่าจะหนีกลับบ้านไปสงบสติอารมณ์แล้วค่อยโทรมาคุยกันแท้ๆ เพราะถ้าคุยกันตอนที่เขากำลังโกรธก็มีแต่จะยิ่งเทลาะกันเข้าไปใหญ่
“ใจเย็นๆนะ” คริสยังนิ่งเหมือนเดิม เขาไม่อยากเร่งรีบเพราะรู้ว่ามันจะทำให้อารมณ์อี้ชิงแปรปรวนจนรับมือไม่ไหว เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปลดล๊อคแล้วกดอะไรไปมาชั่วครู่ก่อนจะวางมันไว้ที่เดิม
“มีอะไรพี่ก็พูดมา” อี้ชิงกระแทกหลังลงกับผนักพิงแรงๆเป็นการระบายอารมณ์ ริมฝีปากอิ่มเชิดขึ้นเหมือนทุกครั้งที่รู้สึกโกรธก่อนที่เขาจะถูกจับให้หันใบหน้าไปทางคนตัวสูง อี้ชิงสบัดหน้าหนีแต่ก็ถูกมือหนาตามมาจับหันกลับไปอีกจนต้องสบตากับคนตรงหน้าตรงๆ
“มาคุยกันให้รู้เรื่องดีกว่า” คริสยิ้มออกมานิดๆเพื่อให้บรรยากาศดูผ่อนคลายเพราะเขาไม่อยากให้อี้ชิงคิดมากหรือโกรธในสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้
“ก็ว่ามา...” อี้ชิงกำลังจะอารมณ์ขึ้นอีกแล้ว เขาไม่ชอบรอยยิ้มของคริสที่ทำเหมือนกับว่าความรู้สึกของเขาเป็นเรื่องตลกที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจก็ได้
“พี่รู้ว่าหึง... พี่ไม่ว่าแต่คราวหลังอย่าโวยวายงี่เง่าไม่มีเหตุผล มันน่าเบื่อ ถ้าโกรธก็บอกพี่แล้วค่อยคุยกันสองคน ทำได้หรือป่าว” เท่านั่นแหละที่คริสต้องการ เขาไม่คิดขัดขวางถ้าอี้ชิงจะถึงหวงคนรักของตัวเองมันก็ไม่แปลกและคริสก็ไม่ใช่คนขี้หงุดหงิดขนาดจะเทลาะด้วยทุกเรื่อง แต่ที่เขาไม่อยากได้อี้คือชิงที่ขี้วีน ขี้เหวี่ยงทำเป็นงูจงอางหวงใข่จนใครต่อใครขยาดที่จะเข้าใกล้เขา มันทำให้คริสลำบากใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
“.........................” อี้ชิงไม่ได้ตอบอะไรถึงจะได้ยินสิ่งที่คริสพูดแล้วทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมรับข้อเสนอหรือทำเป็นไม่สนใจแต่อี้ชิงกำลังกลั้นก้อนน้ำตาที่ขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอไว้ไม่ให้มันไหลออกมา คำว่าโวยวาย งี่เง่า ไม่มีเหตุผล น่าเบื่อ... นี่คือสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินออกมาจากปากแฟนตัวเอง อี้ชิงไม่สนว่าคริสกำลังพูดในประเด็นไหนแต่สิ่งที่ดังก้องอยู่ในหัวของเขาตอนนี้คือ เวลาที่อี้ชิงหึงเขาดูเหมือนคนงี่เง่าและทำให้คริสเบื่อ...
“อย่าเงียบสิ ให้สัญญาพี่... นะ” คริสเอื้อมมือไปจับแขนคนตัวเล็กเขย่าไปมาพร้อมกับก้มหน้าลงจูบไหล่มนผ่านเสื้อนักศึกษาอย่างออดอ้อน เขาไม่อยากให้อี้ชิงรู้สึกว่ากำลังถูกว่า คริสถือว่ามันเป็นคำขอร้องและเป็นคำติติงให้คนตัวเล็กได้แก้ไขปรับปรุงตัวเพื่อการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นของพวกเขาในอนาคต
“ก็ได้ ตามใจ...” พูดไปส่งเดชทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ อี้ชิงยอมรับว่าเป็นคนขี้หึงก็จริงแต่ไม่ใช่พวกขี้ประชดประชันที่ต้องการให้อีกฝ่ายง้อแต่ตัวเองแน่นอน อะไรที่มันทำให้คริสรู้สึกสบายใจเขาก็จะพยายามทำให้เต็มที่ คริสไม่ได้ห้ามไม่ให้หึงแต่แค่ให้เขาเก็บอาการและไม่แสดงออกมันก็แค่นั้น....ใช่ไหม...
“ขอบคุณครับ” คริสก้มลงหอมแก้มนุ่มนิ่มของคนตรงหน้าอย่างรักใคร่ เหตุผลที่เขารักอี้ชิงมันมีมากเกินกว่าจะบอกเลิกเพราะแค่คนตัวเล็กขี้หึงและชอบใส่อารมณ์ เวลาปกติอี้ชิงก็น่ารักเกินกว่าใครจะคาดคิด และที่สำคัญคืออี้ชิงไม่เคยประชดประชันเขา ถ้าไม่ชอบก็จะด่าเปรี้ยงเดียวแล้วคุยกันปกติเลยไม่ได้หนีหายให้ต้องตามง้อแต่ เพราะแบบนี้แทนที่จะโดนงอนเงียบๆเลยกลายเป็นโดนเหวี่ยงตู้มกลางผู้คนมาแล้วหลายสิบหน
จริงๆแล้วเวลาที่อี้ชิงเหวี่ยงมันไม่ใช่การโวยวายแบบตะคอกด่าปาวๆกลางผู้คน แต่คนตัวเล็กจะชักสีหน้า กระแทกนู่นนี่ ส่งสายตาไม่พอใจแล้วก็พูดจาเสียงห้วนจนใครๆก็รู้สึกได้ว่ากำลังเหวี่ยงแล้วทุกคนจะตีตัวออกห่างจากเขาทันทีที่เห็นอี้ชิงเป็นแบบนี้
“อี้จะกลับแล้ว” อี้ชิงทำหน้าบูด ตอนแรกที่เขากลับมากับคริสที่คอนโดก็เพราะจะมานอนที่นี่แต่พอมีเรื่องได้เทลาะกันเขาก็เลือกที่จะกลับบ้านไปสงบจิตใจมากกว่าที่จะมาทนเครียดอยู่
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง” คริสลุกยืนขึ้นก่อนจะเดินผ่านหน้าอี้ชิงหายเขาไปในห้องนอน คนตัวเล็กถอนหายใจยาวพรืดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปลดล๊อคเข้าแอพพิเคชั่นโซเชี่ยลเพื่อเริ่มทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ทันที
อย่างแรกเลยคือคริสเป็นเดือนคณะนิเทศที่มีทั้งสาวสวยหนุ่มหล่อและคนอื่นๆมากมายเป็นเพื่อนในบัญชีเฟสบุ้คเพราะแบบนั้นงานแรกของเขาคือบล๊อคคริสออกจากบัญชีเพื่อนซะเพื่อลดเชื้อเพลิงในการหึงหวง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสียบ้างกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อีกอย่างเวลาที่เขาหงุดหงิดใจก็จะได้ระบายใส่โซเชี่ยลได้เต็มที่โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าคริสจะมาอ่านเจอ
“ป่ะ” คริสเดินออกมากห้องพร้อมกับกุญแจรถและเสื้อคลุมตัวใหญ่ อี้ชิงลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินตามแฟนหนุ่มไปติดๆ เขากดยืนยันการบล๊อคบัญชีเฟสบุ้คของคริสก่อนจะเปลี่ยนไปเข้าเบราเซอร์อินเตอร์และเปิดแท็บค้นหาในกูเกิ้ลทันที
‘ขี้หึงมาก ทำไงดี’
อี้ชิงพิมพ์ค้นหาคีย์เวิร์ดคำถามที่ต้องการคำตอบในเว็บกูเกิ้ลทันทีแล้วปล่อยให้หน้าเพจโหลด ในขณะที่กำลังจะเดินไปลงลิฟ ในหัวก็เอาแต่ครุ่นคิดไม่หยุดว่าตัวเองจะทำยังไงต่อไป จะรับมือกับความไม่พอใจของตัวเองได้มากแค่ไหน คนที่เข้ากับใครก็ได้และไม่เคยซีเรียสกับอะไรสักอย่างแบบคริสจะไปเข้าใจอะไร
ไม่ประชดไม่ได้แปลว่าไม่งอน.... ความหึงงี่เง่าก็เกิดมาจากความน้อยใจทั้งนั้น...
อี้ชิงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงผิดเสมอ คริสเสียเวลาที่ต้องอธิบายเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เขาหึงมากไปเองหลายครั้งและเอาแต่บอกว่าอี้ชิงไม่เข้าใจ ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมคริสถึงไม่ยอมเข้าใจสักทีว่าเขาไม่ชอบให้คริสทำแบบนี้...
ใช่... ทำไมคริสถึงไม่ผิดที่ปล่อยตัวเองให้คนนั้นคนนี้มาเกาะแกะเรื่อยทั้งๆที่เขาบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ชอบ แต่พอเขาเหวี่ยงก็หาว่าเขาไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ถ้าคริสเข้าใจแต่แรกว่าเขาไม่ชอบให้ไปยุ่งกับใครทุกอย่างก็จบปรับตัวเข้าหากันทั้งคู่
บางครั้งเขาก็อยากจะทำให้คริสเห็นบ้างว่าถ้าเขาไปวุ่นวายกับใครบ้างคริสจะรู้สึกยังไง แต่เพราะอี้ชิงไม่อยากให้เรื่องราวมันบานปลายไปมากกว่าการเทลาะด้วยการประชดประชันเขาถึงได้ไม่ทำ อี้ชิงรู้ดีว่าแค่เขาเหวี่ยงหึงก็งี่เง่าและเป็นภาระให้คริสมากพอแล้ว...
หน้าจอโทรศัพท์โหลดเพจเสร็จสมบูรณ์และขึ้นผลการค้นหามากมายเป็นเวลาเดียวกันกับที่ลิฟลงมาถึงชั้นใต้ดินที่เป็นลานจอดรถ อี้ชิงปล่อยให้คริสไปหารถและเขาก็ก้มลงอ่านเว็บต่อไป รีเสิร์ชน่าสนใจมากมายที่ชวนให้เข้าไปอ่าน เขาจัดการแยกแยะความรู้สึกตัวเองออกเป็นส่วนๆว่ามีอะไรบ้างก่อนจะมองหากระทู้ที่น่าจะตรงกับความต้งการมากที่สุด
หนึ่งคืออี้ชิงไม่ได้ไม่ไว้ใจคริส เขารู้ว่าคริสไม่รักใครหรือมีใจให้คนอื่นนอกจากเขา สองคือเขางี่เง่าไปเองทั้งสิ้นแล้วก็รู้ตัวดีเสียด้วย เพราะแบบนั้นสิ่งที่ตอบโจทย์มากที่สุดคือวิธีจัดการความหึงของตัวเองไม่ใช่จัดการที่อีกฝ่าย อี้ชิงเงยหน้าละจากจอโทรศัพท์ขึ้นมาแว้บนึงก่อนจะเดินอ้อมหน้ารถไปขึ้นรถอีกฝั่ง
พอเข้าไปนั่งประจำที่ก็กดเข้าไปดูกระทู้แรกๆก่อนเลย ก่อนอื่นเขาอยากรู้ว่าผู้ชายคิดยังไงกับคนที่ชอบหึงโวยวายและพูดจาเสียดสีประชดประชัน แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำจริงๆแต่เวลาอารมณ์ขึ้นปากมันพาลแต่จะหาเรื่องกัดไปทั่วจนเป็นนิสัย
“ดูอะไรอยู่” คริสเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าอี้ชิงนั่งกดอะไรในมือถือตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว แถมดูท่าจะสนใจมากเสียด้วย
“ป่าว” อี้ชิงไม่ได้ตอบอะไร เขายังเลื่อนดูหน้าเพจในมือเรื่อยๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เนื้อหามากมายที่บอกว่าความหึงเป็นตัวบั่นทอนความรักและทำให้คู่รักรู้สึกเบื่อหน่าย แถมยังเป็นเหตุผลที่ทำให้คนเลิกกันมากที่สุดอีกด้วย มันกำลังทำให้เขาไม่สบายใจและใจเสียอย่างมาก
อี้ชิงยอมรับว่าตัวเองเป็นคนอ่อนไหวสุดๆแต่เป็นประเภทที่ไม่แสดงออก ทุกครั้งที่เขารู้สึกน้อยใจจนอยากจะร้องไห้ก็มักกลบเกลื่อนด้วยการโวยวายใส่อารมณ์เรียกร้องความสนใจแแต่ไม่เคยนึกว่ามันจะมีผลเสียขนาดนี้
แน่นอนว่าเขาน้อยใจแต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามคริสคือคนที่เขาแคร์มากที่สุด ถ้าพฤติกรรมเหล่านี้ทำให้คริสไม่สบายใจและอาจจะเบื่อจนทิ้งเขาไปอี้ชิงก็พร้อมจะปรับปรุงตัว แต่ส่วนจะทำได้หรือไม่นั้นก็ต้องรอดูกันอีกที
รถยังขับไปเรื่อยๆโดยที่คริสไม่ได้พูดอะไรแค่ฮัมเพลงไปเรื่อยๆ ส่วนอี้ชิงก็นั่งนิ่วหน้าอ่านข้อบทความต่างๆในอินเตอร์เน็ตไปอย่างไม่ลดละ อ่านมันทุกหน้ากดดูทุกกระทู้ที่เกี่ยวข้อง ค้นหาทุกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับคำว่าขี้หึงมาอ่านไปตลอดทางเงียบๆโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรเลยตลอดทาง...
+
“อย่าลืมล๊อคบ้านนะ” คริสหันตัวไปปลดเข็มขัดให้อี้ชิงก่อนจะโน้มตัวไปหยิบถุงใส่ของที่เบาะหลังมายื่นให้คนตัวเล็กที่ยังนั่งนิ่งมองโทรศัพท์ไม่ห่างก่อนจะยกมือขึ้นรับของไปถืออย่างไม่ค่อยใส่ใจ
“อื้อ พี่ขับรถกลับดีๆ ถึงแล้วโทรบอกด้วย” อี้ชิงเงยหน้าขึ้นยืดตัวไปจุ้บปากคริสเบาๆเหมือนที่ทำทุกครั้งเวลาที่คนตัวสูงขับรถมาส่งที่บ้าน ก่อนจะหันกลับไปเปิดประตูรถหิ้วของออกไปโดยที่ไม่ลืมหันมาโบกมือให้แฟนหนุ่มแล้วปิดประตูรถให้เสร็จสรรพ
คริสยังไม่ขับรถออกไปเลยแต่รอให้อี้ชิงเข้าบ้านล๊อครั้วให้เรียบร้อยเหมือนทุกทีแล้วจึงค่อยออกรถ คริสไม่รู้ว่าอี้ชิงกำลังคิดอะไรเกี่ยวกับที่เขาพูดไปหรือป่าว แต่คริสเชื่อว่าอี้ชิงจะทำได้แน่ เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองใจร้ายที่พูดจาทำร้ายจิตใจคนรักหรือว่ารำคาญแต่อย่างได ที่ทำไปนั่นก็เพราะคริสต้องการจะตัดข้อเสียของการใช้ชีวิตร่วมกันและยืดเวลารักให้ยาวขึ้น
เขารักอี้ชิงมากและเขาไม่อยากเลิกหรือมีปัญหากับคนตัวเล็กเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่ถ้าทิ้งเอาไว้จนเรื้อรังก็อาจจะต้องเลิกกันในที่สุดและคริสไม่ต้องการแบบนั้น...มันไม่คุ้มกับความเสียใจและความรู้สึกดีๆที่จะหายไปหลังเลิกกันเพราะฉนั้นการคุยกันถึงปัญหาตรงๆอย่างเปิดเผยก็เป็นเรื่องดี และอีกอย่างนึงเขากับอี้ชิงก็คบกันมาก็นานแล้ว
ซึ่งมันอาจจะไม่นานมากสำหรับคู่อื่นๆแต่สำหรับพวกเขามันก็มากพอที่จะอดทนทำเพื่อกันและกัน ช่วยประคองความรักให้ยืดยาวมากกว่าจะหาเอาความสุขใส่แต่ตัวเอง ประเภทว่าเธอต้องง้อฉันสิหรือประชดใส่กันแบบเด็กวัยรุ่นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่าย แบบนั้นคริสคิดว่ามันชั่งไร้สาระสิ้นดี....
.
.
.
.
.
ตุ้บ
อี้ชิงกระโดดขึ้นเตียงอย่างแรงจนเสียงดังตุ้บ นี่เกือบชั่วโมงกว่าแล้วที่คริสขับรถมาส่งที่บ้าน ตอนนี้สามทุ่มกว่าๆและอี้ชิงยังคิดมากไม่หยุด...เข้าใจไม่ผิดหละ คิดมาก ฟุ้งซ่าน วิตกกังวล นิสัยลับๆของ จาง อี้ชิง...
อี้ชิงออฟไลน์อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนหลังจากคริสโทรมาฝันดีไปเรียบร้อย ตอนนี้คริสไม่อยู่ เขาไม่จำเป็นต้องแอ๊บหน้าเหวี่ยงแรงไม่แคร์โลก เปลี่ยนจากทำสายตาจิกกัดเป็นนั่งกัดเล็บด้วยความกังวลใจแทน
คริสเริ่มรู้สึกรำคาญเขาเข้าแล้วและนั่นทำให้อี้ชิงกังวลไปหมด ความรู้สึกที่พยายามกดเอาไว้ถึงสองปีแตกพล่านและเข้าแทรกแซงพื้นที่ความคิดในสมองจนหมด
อี้ชิงไม่อยากยอมรับว่าที่ผ่านมาเขาอดกลั้นหลายอย่าง ปกปิดความคิดตัวเองและไม่แสดงออกความรู้สึกอ่อนไหว ตอนแรกที่คบกันเขาเป็นแค่เด็กปีหนึ่งและคริสอยู่ปีสาม เจ้าชายคณะนิเทศศาสตร์ที่ใครๆก็อยากครอบครองเดินเข้ามาบอกชอบเขาและขอคบด้วยซึ่งอี้ชิงก็ไม่ปฏิเสธทันทีเพราะเขาเองก็แอบชอบคริสอยู่ห่างๆมาตั้งแต่งานรับน้อง
ตอนแรกที่คบกันคริสเป็นนักกิจกรรมตัวยงและมักจะมีคนอื่นๆมาเกาะแกะเสมอ แต่ที่เขาไม่พูดอะไรเพราะนั่นเป็นช่วงแรกที่ยังไม่สนิทใจดีจนเข้าเวลาครึ่งปีหลังที่ได้นอนด้วยกันไปแล้วถึงรู้สึกสนิทใจมากขึ้น หลายครั้งที่คริสมีกิจกรรมรัดตัวจนไม่มีเวลาให้แต่เขาก็ไม่อยากงอแงเพราะคริสเคยพูดให้ฟังว่าแฟนเก่าทำตัวเหมือนเด็ก ขี้ประชด เรียกร้องความสนใจเลยเลิกกันไป
เพราะอี้ชิงไม่อยากเลิกกับคริสถึงได้ไม่ทำแบบนั้นแม้ในใจจะเรียกร้องให้คนตัวสูงหันมามองไม่หยุด…
หลายครั้งที่เขาน้อยใจ หงุดหงิดและงอนที่คริสปล่อยให้ใครต่อใครเข้าถึงตัว ทั้งกอด ทั้งหอมแก้ม ถ่ายรูปคู่ ขอให้ช่วยสอนนั่นนี่และคริสก็ใจดีทำให้เขาไปหมด จนบางทีอี้ชิงก็รู้สึกว่านอกจากจูบกับมีอะไรกันบนเตียงแล้วสถานะเขาก็ไม่ต่างจากพวกเธอเท่าไหร่
เป็นแฟนเขา เขามีสิทธิ์หวงใช่ไหม? คริสเป็นของอี้ชิงไม่ใช่ของสาธารณะหรือของใครที่จะมาจับต้องได้ง่ายๆ รู้ว่าคริสไม่ได้มีใจให้ใครแต่คนมันหึงย่อมไม่เหตุผล
เค้าว่ากันว่าคนขี้หึงมักเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง...
มันก็ใช่....เพราะว่าอี้ชิงไม่โดดเด่นเหมือนกับสาวสวยหรืออัธยาศัยดีแบบเด็กสาขาการแสดงและละครเวที ทุกครั้งที่เหวี่ยงออกมาก็เพราะความรู้สึกน้อยใจล้วนๆ อยากให้คริสรู้ว่าเขารู้สึกไม่ดี อยากให้รู้ว่าอี้ชิงกำลังน้อยใจแต่ถ้าประชดหรืองอนก็จะกลายเป็นเหมือนเด็กไม่มีเหตุผลที่คริสไม่ชอบเลยระบายออกด้วยการหงุดหงิดกลบเกลื่อนเป็นการเรียกร้องความสนใจและแสดงความเป็นเจ้าของไปในตัว
พอมาวันนี้คริสก็เบื่อที่เขาเหวี่ยงอีก อี้ชิงไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับตัวเอง จะต้องปกปิดความรู้สึกไปถึงเมื่อไหร่ คนที่แรงแต่หน้ากากอย่างเขาพอเอาเข้าจริงๆก็ไปสู้ใครเขาไม่ได้ ต่อให้ปากตะคอกปาวๆเหมือนข่มขู่แต่ในใจก็เจ็บไม่แพ้กัน ต่อไปนี้จะร้องไห้ก็ไม่ได้ เหวี่ยงก็ไม่ได้ เลิกหึงก็ทำไม่ได้ อี้ชิงก็คงต้องใช้แผนเดิมคือเลือกเอาหน้ากากคนสุขุมอดทนขึ้นมาใส่บังหน้าปิดบังจิตใจที่เรียกร้องและเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆไม่ให้คริสเห็น
อี้ชิงทนได้ เพื่อคริส...เพื่อความรักเขาทำได้ และทำไปจนกว่าจะไม่รู้สึกหึงคริสจริงๆ แม้ใจนึงจะกลัวว่าถ้าวันนั้นมีจริงขึ้นมาก็คงเป็นที่เขาเลิกรักคริสเหมือนกัน...
“พี่คริส~ นาอึนให้มาบอกว่ามันอยากให้พี่ไปลองคัดบทพระเอกแทนไอ้ฮุนมันหน่อย ฮุนมันยกเลิกบทไม่ยอมแสดง” เสียงใสของรุ่นน้องในสาขาการแสดงดังแจ๋นมาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนนักศึกษาคณะเดียวที่เดินตรงมายังโต๊ะม้าหินอ่อนที่อี้ชิงนั่งอยู่ คนตัวเล็กเงยหน้ามองแว้บนึงแต่ก็ทำไม่สนใจก้มหน้าทานบะหมี่ต่อไป
“อ้าว ทำไมไอ้ฮุนไม่เล่นหละ” คริสวางตะเกียบในมือก่อนจะยกมือขึ้นรับแก้วน้ำที่นักศึกษาคนนึงยื่นให้เป็นเชิงถามว่ากินไหมมาดื่ม แล้วขยับที่นั่งให้รุ่นน้องอีกคนนั่งลงข้างๆกันเพื่อคุยธุระ
“ไม่รู้ มันบอกไม่สะดวกแต่พวกไอ้ไคบอกว่าจริงๆไอ้ลู่ไม่ยอมให้เล่นก็เลยยกเลิก” มินจีนั่งลงข้างรุ่นพี่ในคณะอย่างไม่คิดอะไรเพราะนิสัยเป็นกันเองก่อนจะแย่งแก้วน้ำของเพื่อนในมือคริสมาดื่ม
“เห็นบอกว่ามีบทจูบ” เพื่อนคนนึงที่ยืนอยู่ด้านพูดขึ้น
“ใครเป็นนางเอกอ่ะ” คริสถามอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมกับยกมือขึ้นกอดคอมินจีเมื่อหญิงสาวหันหน้ามาทำหูตากวนประสาทใส่เขา
“ก็ต้องมินจีอยู่แล้วค่ะ” ว่าด้วยน้ำเสียงแหลมแปร้ดพร้อมกับสบัดหน้าเชิดอย่างมาดมั่นเรียกเสียงหัวเราะขำขันกับท่าทางมั่นใจโอเวอร์ของเธอ แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังนึกขำที่ทำท่าทางแบบนั้นออกไป
“ไปดิ เดี๋ยวลองไปแคสดู” คริสพยักหน้าหงึกหงักตอบตกลงอย่างไม่ทันคิดเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากเด็กสาวในกลุ่มที่โชคดีมาชวนเดือนคณะไปแคสติ้งบทพระเอกละครได้
“พี่จะเอาอะไรหรือป่าว อี้จะไปซื้อน้ำ” อี้ชิงยืนขึ้นถามท่ามกลางเสียงคุยจ้อกแจ้ก ตีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรหลังจากที่ทนสถานการณ์น่าอึดอัดอยู่พักนึง เขาหันไปถามแฟนหนุ่มที่นั่งคุยอยู่กับรุ่นน้องอย่างสนิทสนมก่อนจะลุกเดินออกมายืนข้างนอก
จริงๆแล้วน้ำเปล่าบนโต๊ะก็มีตั้งสองขวดแต่อี้ชิงรู้สึกว่าเขาจะต้องลุกไปไหนสักที่ ไปให้ไกลชนวนเหตุที่อาจทำให้เขาวี้ดบึ้มออกมา ไปให้ไกลภาพบาดตาและคำพูดไม่ใส่ใจที่กำลังทำให้เขารู้สึกน้อยใจ...
“แล้วแต่ อี้จะเอาอะไรก็เอามา” คริสหันมาพูดแว้บนึงก่อนจะหันไปคุยอะไรต่อ อี้ชิงเลือกที่จะไม่สนใจเขาเดินหนีออกไปทันที ไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น ไม่อยากเห็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ไม่อยากหึง ไม่อยากเป็นคนงี่เง่า อี้ชิงต้องการที่จะอดทนให้มากกว่านี้
ถึงจะบอกว่าไปซื้อน้ำแต่อี้ชิงกลับเลือกที่จะเดินไปห้องน้ำแทน เพราะเขาต้องการที่เงียบๆสงบสติอารมณ์ ให้ได้อยู่กับตัวเองและตั้งสมาธิใหม่อีกครั้ง ตอนกลางวันแบบนี้นอกจากห้องน้ำติดโรงอาหารก็ไม่มีใครเข้ามาใช้ห้องน้ำในตึกเรียนเลยอี้ชิงจึงเลือกที่นั่นเป็นที่พัก
เขาเดินเข้าไปและพบว่าไม่มีใครใช้ห้องน้ำสักห้องจึงจัดการตรงไปยังอ่างล้างหน้าเปิดน้ำล้างมือล้างไม้ให้ใจเย็นแล้ววักน้ำขึ้นลูบใบหน้าก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในห้องน้ำบนโถส้วมเงียบๆสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ไม่ได้กำลังโกรธ... อย่างที่เคยบอกว่าอาการเหวี่ยงของเขามันเป็นแค่หน้ากากบังตาเพื่อใช้ระบายอารมณณ์ แต่อี้ชิงกำลังรู้สึกเสียใจ กำลังงอนที่คริสไม่สนใจ จับต้องตัวใครต่อใครแถมยังรับปากว่าจะยอมไปทดสอบบทพระเอกในละครเวทีที่มีบทจูบโดยที่ไม่ถามความเห็นของเขาสักนิด...
อี้ชิงยังสำคัญอยู่ไหมนะ พอไม่พูดไม่โวยวายก็ทำอะไรไม่เห็นหัวกันตั้งแต่วันแรก ต่อไปคงทำอะไรตามใจชอบแล้วเอาเหตุผลมาอ้างกับเขาว่าอย่าทำตัวงี่เง่า... ทำไมอี้ชิงต้องเป็นฝ่ายผิดและอดทนตลอด คริสนั่นแหละที่ชอบคิดไปเอง คิดว่าเขาไม่โกรธ ไม่เคยใส่ใจจะทำความรู้จักกับเขา คริสไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าอี้ชิงอ่อนไหวขนาดไหน
แต่ก็เพราะรักนั่นแหละอี้ชิงถึงได้ยอมฝืนตัวเองทุกอย่างตั้งแต่นิสัยที่แท้จริง การกระทำ ยันคำพูดและการแสดงออกที่เป็นผู้ใหญ่
รู้สึกอุ่นร้อนที่ขอบตาก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาโดยที่อี้ชิงไม่คิดจะเช็ดมันออก เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นยังไง ทุกอย่างไม่หยุดแค่เหตุการณ์นี้แน่ พอรู้สึกสียใจไม่สบายใจและไม่ได้ระบายออกในหัวมันก็ฟุ้งซ่านไปหมด วิตกกังวลไปเอง เครียด ระแวง กลัว น้อยใจและเรื่องราวอื่นๆในอดีตทก็ตีกลับเข้ามาในหัวจนแม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกรังเกียจตัวเองที่มีนิสัยคิดมากแบบนี้
อี้ชิงไม่อยากให้ความตั้งใจที่เขาสร้างไว้เมื่อคืนต้องพังทลาย เขาจัดการหยิบผ้าเข็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาสูดลมหายใจเรียกกำลังใจให้ตัวเองอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นเดินเปิดประตูออกจากห้องน้ำ พร้อมกับวิธีการระบายความรู้สึกแบบใหม่ที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยไม่มีผลกระทบต่อใคร...
แค่หนีไปร้องไห้ไกลๆไม่ให้ใครเห็นก็พอ...
เสียงจ้อกแจ้กดังไปทั่วหลังอาจารย์ออกไปจากห้องและเข้าสู่ช่วงพักระหว่างคาบ วันนี้เขาสู่วันที่สี่แล้วแห่งกระบวนการฝึกความอดทนของอี้ชิง ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีไม่มีปัญหา คริสเริ่มยิ้มได้ที่เขาปรับปรุงตัวและมีความสุขมากขึ้นซึ่งอี้ชิงก็ดีใจกับมันแม้เขาจะแอบคิดในใจว่ามันคุ้มหรือป่าวหากหักลบกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจของเขา
“เห้ย! เสร็จยังวะ” เสียงเพื่อนสนิทดังแจ๋นมาแต่ไกลพร้อมกับแรงกอดรัดที่ต้นคอจากด้านหลังจนร่างกายเซถลา ชานยอลเดินเข้ามากอดคอเขาไว้ก่อนจะขยับตัวยุกยิกไปมาเหมือนคนไม่มีสมาธิ
“เออ เสร็จแล้วเนี่ย เสียงดัง” อี้ชิงยกกระเป๋าเป้สพายขึ้นไหล่หลังจากเก็บอุปกรณ์วาดรูปทั้งหมดลงกระเป๋าเสร็จแล้วหยิบกระดานวาดมาเหน็บไว้ที่แขนก่อนจะก้าวขาเดินออกไปพร้อมกันกับเพื่อนสนิท เมื่อวันก่อนคริสไปแคสติ้งบทพระเอกละครแล้วก็ผ่านได้เล่นละครเวทีที่ทางคณะนิเทศจะจัดขึ้นจนได้ แถมยังต้องท่องบทต้องซ้อมทุกวันจนแทบจะไม่ได้เจอกันเลยนอกจากช่วงพักเที่ยงกับที่บ้าน
“ไม่ไปดูพี่คริสซ้อมบทหรอวะ” ชานยอลถามขึ้น เพราะ2-3วันมานี้เขาไม่เห็นอี้ชิงตามติดคริสเท่าไหร่ทั้งๆที่เมื่อก่อนตัวติดกันอย่างกับอะไรแถมยังไม่ค่อยโทรหาด้วย
“ไปกวนป่าวๆ” อี้ชิงเบ้ปากแสร้งทำหน้าไม่ใส่ใจ มันคงตลกพิลึกถ้าเขาตามไปเฝ้าคริสทั้งวันในโรงละครทั้งๆที่ไม่ใช่คนในคณะนั้น อีกอย่างละครที่มีแต่ฉากรักโรแมนติกแบบนั้นถ้าเขาเข้าไปอยู่ด้วยแล้วคริสก็อาจจะแสดงได้ไม่เต็มที่เพราะเกรงใจ อันนี้คริสเป็นคนพูดกับเขาเองว่าถึงจะเป็นละครก็ไม่อยากทำให้เขาไม่สบายใจ ซึ่งอี้ชิงได้ยินแล้วก็รู้สึกซึ้งใจจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ
จะแคร์ทำไมในเมื่อสนใจจะถามความเห็นกันตั้งแต่แรก พอไม่ตามหึงหวงไม่ตามติดก็เหมือนไม่สนใจจนแทบจะไม่มีตัวตนอยู่แล้ว...
“แล้วคิดยังไงให้พี่คริสไปเล่นละครอย่างนั้นวะ” ไอ้คำว่าอย่างนั้นชานยอลหมายถึงฉากเลิฟซีนจุมพิตรักโรแมนติกที่มากกว่าละครโรแมนติกทั่วไป ซึ่งมันผิดนิสัยของอี้ชิงที่ขี้หึงหวงอย่างกับงูเฝ้าไข่
“ไม่ได้คิด” อี้ชิงตอบไปตามตรง คริสไม่คิดจะถามเขาด้วยซ้ำว่าเต็มใจให้แสดงไหม ถ้าวีนไม่พอใจก็เข้าปัญหาเดิมคือเขางี่เง่าเพราะงั้นก็ควรอยู่ห่างๆทำไม่รู้ไม่เห็นไปซะ
เหตุผลเดียวคือมันทำให้คริสสบายใจ... ถ้าอี้ชิงต้องเสียใจ ถ้าเขาต้องแสร้งทำเป็นเดินถอยห่าง ถ้าต้องแลกกับความรู้สึกแย่ๆในจิตใจที่ทำให้เขาร้องไห้ทุกวัน... ถ้ามันคุ้มกันก็ควรจะทำเพื่อประคองรักของเราเอาไว้...
สำหรับคริสมันดีขึ้นแต่สำหรับอี้ชิงมันแย่ลง จากที่เมื่อก่อนได้ปลดปล่อยได้ถามได้พูดคุยเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายอะไรเลย ทำให้เขาคิดมากขึ้น วิตกกังวลไปเอง จากที่เชื่อใจเริ่มเปลี่ยนเป็นความระแวงภายในเวลาอันสั้นเพราะไม่สามารถพูดถามได้ทุกเรื่องเหมือนอย่างแต่ก่อน
อี้ชิงไม่เลิกค้นโทรศัพท์ของคริสหลังจากที่รู้ว่าคนตัวสูงแอบเปลี่ยนรหัสผ่านเขาก็เข้าใจเจตนาได้ทันทีว่าคริสไม่ต้องการให้เขายุ่งกับโทรศัพท์ โอเค... อี้ชิงไม่ยุ่งกับโทรศัพท์ เขาไม่ได้ค้นข้อความ ไม่ได้เช็คสายโทรเข้าออก ไม่ได้แอบดูการสนทนาผ่านแอพพิเคชั่น คริสสบายใจและเป็นส่วนตัวมากขึ้นในขณะที่เขากังวลและระแวงจนแทบบ้า...
นอนไม่หลับ...คิดนู่นนี่ไม่ตกทั้งคืน ร้องไห้ระบายความเสียใจก็แล้วแต่ไม่สามารถระบายเรื่องเครียดต่างๆในหัวได้เลย สุดท้ายก็ต้องพึ่งสมุดไดอารี่เหมือนทุกครั้งคือจดระบายทุกอย่างที่คิดลงไปแล้วเก็บลงลิ้นชัก ไม่อยากงอแงเป็นเด็กๆ ไม่อยากงอนให้รำคาน ไม่ยากเหวี่ยงหรือทำตัวน่าเบื่อ
ไม่อยากหึง....
“มาแปลกเว้ย เทลาะกันอ่อ?”
“ป่าว ก็บอกว่ามันไปกวนเฉยๆไง ไม่ได้เทลาะกันเดี๋ยวหลังจบละครก็เคลียส์แล้ว” ถ้าเทลาะกันคงหมายถึงการมีปากเสียงแล้วเจ็บทั้งคู่ แต่การที่คิดไปเองคนเดียว เจ็บคนเดียวแบบนี้คงไม่เรียกว่าเทลาะกัน
“ไม่ถามก็ได้วะ” ชานยอลว่าและอี้ชิงไม่ได้ตอบอะไร พวกเขาเดินคุยกันจนมาถึงหน้าคณะและคงมุ่งตรงไปร้านอาหารนอกมหลัยต่อไป ชานยอลเล่านู่นนี่ไม่หยุดตลอดทางจนทำให้อี้ชิงเริ่มรู้สึกว่าได้ใช้หัวสมองคิดเรื่องอื่นบ้างนอกจากความรัก
เพียงเดินกันไปได้ไม่นานชานยอลก็เหนื่อยจนขอแวะซื้อนำและปล่อยให้เขายืนรออยู่ที่สวนรัฐศาสตร์
อี้ชิงยืนหันไปหันมาอย่างรู้ว่าจะทำอะไรก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาคริสเป็นการบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาพักแล้ว ถ้าซ้อมเสร็จจะไปกินข้าวด้วยกันก็โทรมา อี้ชิงกดหมายเลขต่อสายเพียงไม่นานปลายสายก็กดรับพร้อมกับทักทายอย่างอารมณ์ดี
[จ๋า ว่าไง]
“ฮัลโหล อี้พักแล้วนะ พี่จะลงมากินข้าวด้วยกันไหม”
[อีกสักพักนึงนะ เดี๋ยวดูก่อนว่าจะได้พักหรือยัง อี้พักกี่ชั่วโมง]
“สอง ตอนบ่ายมีเรียนต่อ ถ้าจะลงมาก็โทรบอกอี้จะได้รอ”
[ครับ เดี๋ยวพี่โทรไป ถ้าหิวก็กินก่อนเลยก็ได้]
“อื้อ พี่มาเร็วๆนะ แค่นี้แหละ”
[ครับ]
พอว่าจบอีกฝ่ายก็กดตัดสายไปทันที อี้ชิงไม่อยากพูดว่าเขาอยากให้คริสลงมากินข้าวด้วยกันเพราะคิดว่ามันเป็นการรบเร้าเลยพูดเร่งเป็นเชิงสื่อทางอ้อมแทนว่าเขาจะรอให้คริสลงมาไวๆ หลังจากที่คุยเสร็จชานยอลก็เดินกลับมาได้เวลาพอดีพร้อมกับขนมมากมายในมือไม่ใช่แค่น้ำเปล่า
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ”
“ก็ซื้อมาแบ่งไง เดี๋ยวเลี้ยงข้าวด้วย ไป” อยู่ๆชานยอลใจดีกับเขาขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนอี้ชิงนึกตลก เขาไม่ได้ว่าอะไรแต่เอื้อมมือไปหยิบโค้กกระป๋องในถุงมาแกะดื่ม พลันสายตาก็มองเลยไปเห็นตรงซุ้มร้านขายน้ำที่มีกระจุกคนยืนอยู่ห้อมล้อมชายหนุ่มตัวสูงที่แจกยิ้มไปทั่วอย่างมีเสน่ห์
คริส....
“พี่คริส เขาไปทำไรตรงนั้นอ่ะ” อี้ชิงขมวดคิ้วหรี่ตามองดูคนตัวสูงที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดด เสียงเด็กปีหนึ่งปีสองกรี๊ดกร๊าดกันลั่นก่อนที่ฝูงผู้คนจะแตกออก เขาเห็นเด็กผู้หญิงที่ชื่อมินจีกอดเขนคริสเอาไว้แน่นก่อนจะพากันเดินไปยังมุมที่มีต้นไม้สวยงามด้านหลังจัดเป็นสวนหย่อม พวกเด็กๆส่งเสียงฮือฮาก่อนจะเดินหลบไปคนละทิศละทาง
อี้ชิงเห็นผู้ชายถือกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่เดินถอยหลังออกมาห่าง ก่อนที่คริสจะหันหน้าเขาหามินจีแล้วโน้มใบหน้าลงจูบ....
ปุ่ก
กระป๋องโค้กที่ถืออยู่ในมือล่วงลงพื้นจนฟองไหลฟอดไปทั่ว มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่น ชานยอลเอื้อมมือมาจับไหล่เขาแล้วพูดอะไรสักอย่างที่ฟังไม่ได้ยินเพราะหูอี้ชิงมันดับอื้อไปหมด ทั้งๆที่อุตส่าพยายามเชื่อใจและคิดว่าคริสจะสร้างขอบเขตให้ตัวเองไม่ให้ใครเข้าใกล้จนล้ำเส้นแต่กลายเป็นว่ามันเลยเถิดไปกันใหญ่
คิดไปเองยังไม่เจ็บเท่าเห็นกันจะๆตรงหน้า ถึงจะเป็นการถ่ายรูปโปรโมทคู่เซอร์วิสหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าคริสยอมทำขนาดนี้ต่อไปใครต่อใครคงขอขึ้นเตียงไปนอนคอนโดได้สบาย ถ้าเขาหึงก็ว่างี่เง่าแล้วตัวเองถูกเสมอ เรื่องจบ... อี้ชิงไม่มีตัวตนอีกต่อไปเพราะคริสไม่เคยทำอะไรเห็นหัวเขาเลยตั้งแต่ที่ทำตัวห่างกัน...
“อี้...ใจเย็นนะเว่ย เขาแค่ถ่ายแบบกัน แค่ปากโดนเอง” ชานยอลลุกลี้ลุกลนกลัวว่าอี้ชิงจะไปเหวี่ยงแตกใส่แฟนและสาวคู่นักแสดงเพราะตรงนั้นกลุ่มแฟนคลับทั้งคู่เยอะมาก แล้วอี้ชิงเองก็มีสาวกคริสที่ไม่ค่อยชอบหน้าอยู่แล้ว เขากลัวว่าเรื่องจะไปกันใหญ่เพราะความขี้วีนของเพื่อนสนิทถึงได้พยายามดึงอี้ชิงออกห่างจากตรงนี้
“..........................”
“โทรไปหาเขาก่อนดีกว่าแล้วเรียกออกมาคุย...”
“ไม่ต้องหรอก ไม่อยากหึง....” พูดไปพร้อมกับน้ำตาที่หยดลงกลิ้งผ่านผิวแก้ม
ที่ไม่อยากให้เข้าใกล้ก็เพราะอายกลัวใครรู้ว่าแฟนขี้หึง ที่ไม่อยากให้หึงเพราะจะได้ทำอะไรตามใจตัวเอง ที่ให้อยู่ห่างเพราะไม่อยากเห็นหน้ากลัวว่าจะทำอะไรแล้วจะลำบากใจขึ้นมา
ถ้ายังงั้นทำไมไม่พูดว่าเลิกกันไปซะตั้งแต่วันนั้นเพราะแค่นี้อี้ชิงก็แทบไม่มีตัวตนอยู่แล้ว ต่อไปคงเดินผ่านกันโดยไม่ทัก ไม่รู้ไม่เห็น นึกอยากจะกอดจูบใครก็ทำ
อี้ชิงไม่อยากงี่เง่าอีกแล้ว ไม่อยากทนคิดคนเดียว กังวลคนเดียว ไม่อยากอยู่ในสถานะแฟนในนามที่ไม่มีสิทธิ์หึงหวงคนของประชาชนอย่างคริส ไม่อยากหึงให้คริสไม่สบายใจ ไม่อยากเข้าใกล้ให้เกะกะลูกตา ไม่อยากแสดงความเป็นเจ้าของที่คริสเรียกว่าความงี่เง่า ไม่อยากจะอยู่ในสถานะแฟนที่ต้องทนเก็บความเจ็บปวดคนเดียว...
“ปล่อยเขาไปเถอะ...” อี้ชิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือเพื่อนสนิทมาบีบไว้แน่นอย่างต้องการกำลังใจ ถ้าคริสอยากจะทำอะไรก็ทำ ถ้าแคร์คนอื่นมากกว่าก็เชิญ ความรักของเขาคงเป็นส่วนเกินไปแล้ว ไหนๆก็ฝืนนิสัยตัวเองมาตั้งแต่แรกก็หาโอกาสจบทุกอย่างซะตอนนี้
ต่อไปถ้าจะหาแฟนใหม่อี้ชิงก็คงต้องดูให้ดีไม่ใช่ปล่อยให้ความชอบบังตา คงต้องหาคนที่รับได้ในข้อเสียของเขามากกว่าจะชอบในข้อดี จะได้ไม่ต้องฝืนอารมณ์ฝืนความรู้สึกและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบไม่เต็มใจแบบนี้
ทั้งๆที่อี้ชิงยอมทนเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองแต่คริสไม่เคยนึกทำอะไร แบบนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้คริสเดินไปตามทางที่ชอบของตัวเอง....
“ไม่เป็นไรแน่นะเว่ย”
“อยากจะฟังฉันร้องไห้ไหมวะ” ชานยอลไม่ใช่คริส เขาไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำเข้มแข็งหรือปั้นหน้าไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้เขาอยากจะระบายความรู้สึกในใจที่อัดอั้นมานานกับใครสักคนที่ไว้ใจได้และจะไม่หาว่าเขาทำตัวน่ารำคาญน่าเบื่อ
“มานี่เหอะ” ชานยอลดึงมืออี้ชิงให้เดินลัดเลาะไปตามสวนหย่อมไปตามสนามต้นไม้ เดินข้ามสะพานสวนน้ำไปยังไปยังโซนต้นไม้หลังตึกพฤกษาที่เงียบสงัดและไร้ซึ้งผู้คน อี้ชิงเดินปิดปากมาตลอดเพื่อกลันเสียงสะอื้น ทันทีที่เขาหยุดเมื่อมาถึงที่หมายเดินคนตัวเล็กก็โผกายเข้ากอดเพื่อนสนิทเอาไว้แน่นพร้อมกับปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาโดยที่ไม่พูดอะไร
ชานยอลไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นใน2-3วันมานี้แต่อี้ชิงคงอดทนมาพอสมควร ดูจากอาการไม่กระปี้กระเป่าและดวงตาที่บวมช้ำเพราะผ่านการร้องไห้ทุกวัน เขาไม่รู้ว่าต้องพูดปลอบใจยังไงให้อี้ชิงหายเสียใจ สงสารเพื่อนก็สงสารจะบอกให้เลิกกับคริสก็เป็นการยุแหย่ เพราะถ้าทั้งสองคนยังรักกันอยู่ก็ถือว่าเขาเป็นพวกมือเสือก ชานยอลเลยได้แต่กอดปลอบอี้ชิงเงียบๆโดยที่ไม่พูดอะไร
“ฮึก....ฉันไม่ดี...อึก...ตรงไหนวะ....ฮรื่อ....ฉันงี่เง่าหรอวะ...ฮึก...ฮรื่อ!”
“ไม่...แกไม่ได้ไม่ดีตรงไหน ถ้าคนมันไม่รักก็หาเรื่องว่าไปทั่วนั่นแหละ” สุดท้ายก็พูดจาเข้าข้างเพื่อนตัวเอง ชานยอลไม่รู้ว่าทั้งคู่มีปัญหาเรื่องอะไรแต่ดูจากที่อี้ชิงพูดและเรื่องราวที่ผ่านมาคงเทลาะกันเรื่องนิสัยจิกเหวี่ยงของคนตัวเล็กนั่นแหละ แน่นอนว่าชานยอลไม่ได้หลับหูหลับตาเข้าข้างอี้ชิง แต่สิ่งที่คริสทำมันก็เกินไปจริงๆ ไม่ใช่ว่าชานยอลไม่รู้ว่าเพื่อนของเขาฝืนมากขนาดไหน...
“ฮึก...ทำไมฉันทำอะไร...ฮึก..ไม่เคยดีเลยวะ...ฮรื่อ...งอนก็ไร้สาระ..ฮื่อ..หึงก็น่าเบื่อ...อึก...ทำอะไรก็ไม่ได้...ฮื่อ!”
“ฉันว่าแกรู้คำตอบที่ใจดี อย่าฝืนเลย” ชานยอลไม่อยากเป็นคนตัดสินปัญหาของใคร เขารู้ว่าอี้ชิงเองก็คงจะคิดเรื่องพวกนี้มานานเหมือนกันเพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร
“ฮึก...เขาไม่รักฉันหรอวะ...ฮรื่อ...” อี้ชิงสะอึกสะอื้นร้องไห้จนตัวโยน คริสใจร้ายเกินกว่าที่คิดเอาไว้ เดี๋ยวนี้อี้ชิงทำอะไรก็หาเรื่องว่าไม่ดีไปหมด
ตอนแรกอี้ชิงคิดว่าคริสพูดเพื่อให้เขาปรับปรุงซึ่งตัวเขาถึงได้ยอมอดทนเพื่อประคองรักเอาไว้ แต่พอมาเจอแบบนี้ก็รู้สึกเหมือนได้รู้ความจริงว่าที่จริงแล้วคริสแค่ไม่อยากให้เขาอยู่ใกล้ ไม่อยากให้วุ่นวายด้วย เพราะคริสไม่เคยใส่ใจการปรับปรุงตัวของเขา
รู้แค่ว่าพออี้ชิงไม่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ แต่ไม่เคยใส่ใจจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นทดแทนความรู้สึกที่เสียไป มีแต่จะทำเขารู้สึกแย่ลงไปทุกวันเหมือนกับต้องการตัดฟางเส้นสุดท้ายให้ขาด
ถ้าหมดรัก ไม่ต้องการความรักของเขาทำไมไม่บอกเลิกกัน ไม่เห็นต้องหลอกให้อี้ชิงโง่ดักดานพยายามทำตัวให้ดีเพื่อเรียกร้องความสนใจ ทำให้ความตั้งใจของเขากลายเป็นเรื่องตลกของคนๆหนึ่งที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อยื้อรัก
ไม่เห็นต้องทำให้อี้ชิงรู้ด้วยตัวเองว่าเขาหมดคุณค่าเกินกว่าจะได้รับความสนใจไปตั้งนานแล้ว...
คริสเป็นคนที่ใจร้ายและเลือดเย็นกว่าที่คิด...
“อย่าไปเสียใจเลย จบก็จบผู้ชายคนเดียว” ชานยอลว่าเสียงเครียด เพราะน้ำตาและความอ่อนแอของอี้ชิงในตอนนี้ทำให้ความเป็นกลางของเขาหายไปและรู้สึกเกลียดคริสจนบอกไม่ถูก
“ฮึก...ฉันไม่อยากทนแล้วยอล....ฮรื่อ...ให้มันจบสักที...ฮรื่อ....” อี้ชิงซบหน้าปล่อยน้ำตาลงกับไหล่ของเพื่อนสนิท ไม่มีคริสก็ยังมีชานยอลที่คอยอยู่เป็นเพื่อนเขาและไม่เคยดูถูกความรู้สึก ความอ่อนแอของเขา
มันต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างตอนแรกที่เขาเข้าใจกับตอนนี้ อี้ชิงยอมทนให้ตัวเองเจ็บเพื่อคนรักได้ แต่เขายอมทนเป็นคนโง่ให้คริสสมเพศในความตั้งใจไม่ได้
ให้มันจบสักที ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องเทลาะกัน ไม่ต้องมีคนงี่เง่า ไม่ต้องมีใครลำบากใจอีกนอกจากเขา ให้ความสัมพันที่เคยหวานชื่นมันเป็นแค่ความทรงจำในอดีตและอี้ชิงจะไม่มีวันลืมมัน สถานะแฟนชั่งดูยิ่งใหญ่แต่พอลดตำแหน่งไปเป็นแค่แฟนเก่าอีกไม่นานเกินไปคริสก็คงจะเป็นแค่คนเคยรู้จัก
หยุดทรมานตัวเองและยอมรับความจริงเสียที...หยุดความสัมพันธ์ที่อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จบทุกอย่างที่เริ่มต้นผิดตั้งแต่สองปีที่แล้ว
คราวหน้าถ้ามีแฟนอี้ชิงคงเข็ดที่จะเสแสร้งปกปิดนิสัยตัวเองอีก....
+
สี่ทุ่มสิบห้านาทีหลังจากวางสายจากชานยอลอี้ชิงก็ยังนอนไม่หลับและเอาแต่นั่งจดสมุดบันทึกจนล่วงเวลามาถึงสี่ทุ่ม เขาบล๊อคเบอร์คริสและไม่เข้าไลน์เข้าโซเชี่ยลอะไรทั้งนั้น วันนี้หัวใจของเขาโดนทำร้ายมาอย่างหนัก อี้ชิงยังไม่พร้อมจะบอกเลิกคริสตอนนี้ เขาอยากจะรอให้ตัวเองฟื้นมากกว่านี้ก่อนแล้วค่อยไปบอกเลิกด้วยปากตัวเอง
อี้ชิงเชื่อว่าวันนึงความรักครั้งนี้มันจะเป็นแค่เรื่องในอดีตและเป็นประสบการณ์อกหักครั้งแรกที่เอาไว้เล่าโชว์ตามบอร์ดความรัก สักวันคงเป็นแค่เรื่องขำขันแม้วันนี้จะเจ็บปางตายก็ตาม
อี้ชิงรู้สึกว่าตัวเองตัวรุมๆตั้งแต่ตอนเย็นเพราะเขาต้องวิ่งฝ่าฝนจากปากซอยเข้ามาถึงบ้านแม้จะกินยาไปแล้วก็ไม่ดีขึ้นแถมยังคั่นเนื้อคั่นตัวไปหมด พอฝืนกายไปอาบน้ำเย็นหน่อยคราวนี้อาการปวดหัวก็รุมเร้า อดหักรักคุดแล้วยังมาเป็นไข้อีก พรุ่งนี้คงต้องหยุดเรียนหนีทุกอย่างแล้วนอนซมในห้องทั้งวัน ก็ถือโอกาสพักกายพักใจพักสมอง แล้วชาร์ตพลังให้ตัวเองไปด้วยเสียเลยพอแข็งแรงพอแล้วค่อยบากหน้าไปฟันฝ่าอุปสรรคต่อ
“เห้อ...” อี้ชิงถอนหายใจยาวพรืด วางสมุดบันทึกไว้ข้างโคมไฟก่อนจะคลานจากเก้าอี้ไปนอนบนเตียงแล้วใช้เท้าเขี่ยผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว ซุกหน้าลงกับตุ๊กตาหมีและผ้านวมนุ่มๆ นอนฟังเสียงฝนตกกระทบหลังคาไปเพลินๆหวังว่ามันจะทำให้เขารู้สึกดีและหลับง่ายขึ้น...
วันนี้อี้ชิงเหนื่อยเพลียมาทั้งวันและเขาต้องการพักผ่อนนอนยาวไปจนถึงสายวันพรุ่งนี้ หวังว่าสายฝนจะช่วยชะล้างความเสียใจของเขาในวันนี้และเปิดฟ้าโล่งต้อนรับในเช้าวันใหม่ หรือไม่ฝนก็อาจจะตกไปจนถึงตอนเช้า... เป็นพายุที่สาดซัดอย่างหนักครืนใหญ่แล้วจึงจะสงบลงอีกครั้ง....
+
แกร้ก
เสียงไขกุญแจห้องดังขึ้นก่อนที่ประตูจะถูกเปิดและปิดลงช้าๆ เงาคนตัวสูงทอดยาวลงบนเตียงนอนสีขาวที่มีร่างเล็กๆหลับอยู่ คริสเดินไปหรี่โคมไฟที่หัวเตียงก่อนจะนั่งลงบนเตียงนุ่มจ้องมองใบหน้าเล็กๆที่น่ารักราวกับนางฟ้าแล้วยกมือขึ้นจับปอยผมทัดที่กกหู เขาสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่สูงผิดปกติเลยใช้ฝ่ามือขึ้นแตะที่หน้าผากมน จนรู้สึกได้ว่าอี้ชิงตัวอุ่นนิดหน่อยแต่ไม่มาก
คริสโน้มตัวลงใช้แขนค่อมร่างอี้ชิงเอาไว้ก่อนจะเรียกชื่อคนตัวเล็กเบาๆ
“อี้ชิง...อี้ชิงครับ..” คริสยกมือขึ้นเขย่าตัวไปมาเบาๆแต่อี้ชิงไม่ยอมตื่น เขาเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะก้มลงถอดถุงเท้าทั้งสองข้างแล้วยกเท้าขึ้นนอนบนเตียงเดียวกันแทน
วันนี้อี้ชิงไม่เปิดโทรศัพท์ทั้งวันตั้งแต่เที่ยง ตอนแรกก็คิดว่าแบตหมดแต่พอไปรอรับที่หน้าคณะเด็กศิลป์คนอื่นๆก็บอกว่าอี้ชิงไม่ได้เข้าเรียนภาคบ่ายแล้วก็หายไปตั้งแต่กลางวันกับชานยอลแล้ว เขาเลยเป็นห่วงพยายามติดต่อทั้งวันแต่ก็โทรไม่ติด จนกระทั่งเลิกเรียนทำกิจกรรมเสร็จตอนสองทุ่มแล้วคริสถึงขับรถไปดูที่บ้านแต่ก็ไม่เห็นใคร บ้านเงียบไฟเฟยไม่เปิดเลยได้แต่กังวลว่าอี้ชิงจะเป็นอะไรไปแล้วกลับไปรอที่บ้าน
จนเมื่อสี่สิบนาทีก่อนคริสเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขามีเบอร์แบคฮยอนที่เป็นแฟนชานยอลเลยโทรไปขอเบอร์เพื่อนสนิทอี้ชิงมาแล้วจึงโทรไปถามได้ความว่าอี้ชิงอาจจะหลับอยู่ในบ้านแต่ไม่ได้เป็นอะไร พอได้ยินแบบนั้นเขาก็เลยรีบบึ่งรถและเอากุญแจสำรองไขเข้ามาในบ้านอย่างถือวิสาสะ
คริสเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์อี้ชิงมากดดูด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เครื่องไม่ได้ปิดแต่อี้ชิงบล๊อคเบอร์เขาไม่ให้โทรเข้า ในคลังภาพอี้ชิงลบรูปจนหมดรวมทั้งข้อความและการสนทนาในแอพพิเคชั่น ส่วนเรื่องบล๊อคเฟสบุ้คเขารู้ตั้งแต่วันก่อนแล้ว จากที่คิดว่าอี้ชิงอาจจะเกิดอุบัติเหตุโทรศัพท์พังหรือว่าอะไรกลายเป็นคนตัวเล็กกำลังหนีเขาแทน ทั้งๆที่ตอนกลางวันก็เพิ่งเป็นคนชวนไปกินข้าวด้วยกันแท้ๆ
คริสไม่อยากปลุกอี้ชิงขึ้นมาคุยอะไรตอนนี้เขาลุกขึ้นนั่งวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมและกำลังจะปิดโคมไฟถ้าไม่ติดว่าสายตาดันไปมองเห็นสมุดบันทึกสีชมพูที่วางอยู่ข้างปากกากระต่าย คริสลุกขึ้นย้ายตัวเองจากที่นอนไปนั่งบนเก้าอี้แทนก่อนจะหยิบสมุดนั้นขึ้นมาเปิดดูผ่านๆ เมื่อเห็นว่ามันไม่ใช่สมุดเล็กเชอร์เลยเลือกสุ่มเปิดหน้าแทน
เขากวาดสายตาอ่านข้อความคร่าวๆและเห็นว่ามันเป็นสมุดบันทึกไดอารี่เลยเปิดไปหน้าแรกแล้วเริ่มอ่านตั้งแต่อักษรตัวแรกที่ถูกเขียน…
คริสปรับโคมไฟให้สว่างขึ้นเพื่อให้สะดวกต่อการอ่าน เขาเริ่มอ่านสมุดบันทึกตั้งวันแรกที่ถูกลงบันทึกไว้ในปี2011 ช่วงหน้าหนาว ตอนนั้นเป็นตอนที่เพิ่งคบกันแรกๆ คริสไล่สายตาอ่านการเขียนบันทึกประวันของอี้ชิงที่มีแต่เรื่องของเขาเต็มไปหมด
มันไม่ใช่การบรรยายเรื่องราวพร่ำพรรณายืดเยื้อแต่เป็นการจดบันทึกสั้นๆ4-5บรรทัดในแต่ละวัน แล้วก็ไม่ได้จดทุกวันด้วย เหมือนจะเขียนถึงความไม่พอใจ ความน้อยใจที่เกิดขึ้นในทุกครั้งที่เขาทำอะไรไม่ดี เป็นการเขียนสั้นๆห้วนๆไม่มีที่มาที่ไป และไม่มีการเรียบเรียงเนื้อหา จนบางเรื่องเขาก็จำไม่ได้และไม่รู้ว่าอี้ชิงพูดถึงเรื่องไหน
แต่ที่น่าแปลกใจคือคริสไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าอี้ชิงไม่พอใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้... อย่างงานวันฉลองครบรอบ30ปีสาขานิเทศศาตร์ที่คริสต้องถ่ายแบบแนวเซ็กซี่อีโรติกกับรุ่นพี่คนนึงตอนนั้นเขาก็คุยกับอี้ชิงแล้วคนตัวเล็กก็บอกไม่เป็นไร...เข้าใจ แต่สิ่งที่จดอยู่ในสมุดบันทึกมันคนละเรื่องกันเลย…
‘ ;( พี่คริสถ่ายแบบ ไม่ชอบยูอี ทำไมต้องคู่กัน ทำไมต้องถ่ายรูปคู่ทั้งๆที่พี่มีอี้อยู่แล้ว พี่ตอบรับเขาไปแล้วๆเพิ่งมาขออี้ เพื่อ?! ถ้าไม่ใส่ใจจะแคร์แต่แรกพี่จะมาถามอี้ทำไม หงุดหงิด! เสียใจ! แต่ว่าพี่ไม่ชอบคนขี้งอน ก็ไม่ต้องสนใจนะ! อี้แค่เสียใจ ไม่ต้องใส่ใจก็ได้!!’
คริสขมวดคิ้วแน่น ตอนนั้นเขาจำได้ดีเลยว่าอี้ชิงพูดว่า ‘ไม่เป็นไร เป็นงานครบรอบสำคัญนี่ จะถ่ายก็ถ่าย’ แถมพอเอาภาพมาให้ดูก็ยังชมด้วยว่าสวยอย่างงั้นอย่างงี้ แล้วทำไมถึงได้.....
คริสเริ่มแปลกใจมากขึ้น เขาพลิกหน้าต่อไปแล้วอ่านทุกเรื่องราวที่ถูกเขียนแม้แต่วันที่บนหัวกระดาษ บางเรื่องยาวมากแต่คริสไม่รู้ว่าอี้ชิงพูดถึงเรื่องอะไรเพราะมันเป็นการบรรยายความรู้สึกล้วนๆไม่มีเรื่องราวอะไรเลย บางหน้ามีคราบน้ำตา และเนื้อหาส่วนใหญ่ก็เป็นการตัดพ้อและหึงหวงทั้งสิ้น
บางเรื่องเขาพอจะเดาได้ว่าเรื่องอะไรแต่ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งคิดเปรียบเทียบว่าต่อหน้าเขาตอนนั้นอี้ชิงทำยังไงและมันตรงข้ามทั้งนั้น
อย่างเรื่องโทรศัพท์ที่คริสจำได้ว่าพวกเขาเทลาะโวยวายใส่กัน อี้ชิงโทรมาด่าเขานานเป็นชั่วโมงจนต้องตัดสายปิดเครื่องหนี พอตอนเช้าก็มาด่าอีกที่ไม่ยอมเปิดโทรศัพท์จนเขาต้องใจเย็นแล้วค่อยๆอธิบายทุกเรื่องแล้วก็จบด้วยดีเหมือนทุกครั้ง แต่สมุดบันทึกของวันนั้นกลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา พรรณาความเสียใจมากมายที่เขาปิดโทรศัพท์ใส่ หาว่าคริสไม่สนใจ ไม่แคร์ เข้าข้างคนอื่น โทษตัวเองว่าน่ารำคาญ
เนื้อหาเรื่องราวจะเป็นประมาณความรู้สึกที่ขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด แต่ทุกๆเรื่องมักจะมีประโยคคล้ายๆกันปิดท้ายบันทึกเสมอ
‘พี่คริสไม่ชอบคนเอาแต่ใจ อี้จะไม่ทำ’
‘ไม่อยากโดนทิ้งต้องห้ามทำให้พี่คริสรำคาญ’
‘อย่าเรียกร้องความสนใจ พี่คริสไม่ชอบ’
‘อี้เจ็บทำไมพี่ไม่แคร์..แต่พี่ก็เคยบอกไปแล้วว่าไม่ชอบคนนิสัยเด็ก’
‘อี้ชิงคนโง่ พี่คริสไม่ชอบคนเซ้าซี้คิดมาก ห้ามถาม!’
‘อย่าให้พี่คริสรู้ว่าขี้น้อยใจ เดี๋ยวจะโดนทิ้ง!’
อี้ชิงมักปิดประโยคด้วยพูดแนวนี้เสมอ คริสรู้สึกหน่วงไปทั้งอก เขารู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆมาจุกที่ลำคอ เหมือนโดนมือที่มองไม่เห็นบีบก้อนเนื้อในอกจนหวิวสั่นไปทั้งใจ คริสไม่เคยรู้เลยว่าอี้ชิงคิดมาก วิตกกังวลและฟุ้งซ่านขนาดนี้ ไม่เคยรู้ว่าคนขี้โมโหแท้จริงแล้วเป็นเพียงเด็กขี้ใจน้อยคนนึง
คริสไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง ที่ทำให้คนตัวเล็กเสียใจขนาดนี้ คริสเคยคบแต่ผู้หญิงรุ่นเดียวกัน และเคยคบกับคนที่เด็กกว่าครั้งนึงแล้วอีกฝ่ายทำตัวน่ารำคาญตามจิก ตามโทรหาทุกชั่วโมง แถมยังชอบประชด พูดจาไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก ชอบออเซาะเกาะติดจนน่ารำคาญ เพราะแบบนั้นเขาถึงได้บอกอี้ชิงว่าไม่ค่อยชอบคบเด็กเพราะอะไร แต่มันเป็นแค่การเล่าให้ฟังเฉยๆเขาไม่ได้บอกว่าไม่ชอบคนนิสัยแบบนี้และไม่คิดว่าอี้ชิงจะเก็บคำพูดนี้มาคิดแล้วฝืนตัวเองเป็นปีๆเพราะรักเขา
คริสรู้สึกแย่ที่เขาทำให้คนตัวเล็กเสียใจโดยที่ไม่รู้อะไรเลย ยิ่งพอนึกถึงคำพูดตัวเองเมื่อวันก่อนก็ยิ่งรู้สึกเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีก
‘พี่รู้ว่าหึง พี่ไม่ว่าแต่คราวหลังอย่าโวยวายงี่เง่าไม่มีเหตุผล มันน่าเบื่อ ถ้าโกรธก็บอกพี่แล้วค่อยคุยกันสองคน ทำได้หรือป่าว’
ทำเขาเสียใจมาสองปีเต็มแล้วยังหาว่าอี้ชิงน่าเบื่อ งี่เง่า ไม่มีเหตุผล....ทำไมหนะหรอ ทำไมอี้ชิงถึงได้ชอบทำตัวน่าเบื่อ คำตอบทั้งหมดคริสเจอมันในสมุดบันทึกแล้ว...
‘อี้รักพี่คริส อี้ทนได้ถ้าพี่ไม่ชอบอี้จะไม่ทำ แต่อี้ไม่อยากให้ใครยุ่งกับพี่ ทำไมพี่ชอบไปกอดไปเล่นกับคนนั้นคนนี้ทั้งๆที่อี้ไม่เคยไปเล่นกับใคร อี้ไม่อยากให้ใครเข้ามากอดมาหอมแก้มหรือจับมืออี้ เพราะอี้อยากให้พี่ทำแค่คนเดียว พี่เป็นแค่คนเดียวที่พิเศษและทำได้ แต่ทำไมกับพี่อี้ไม่มีสิทธิ์หวง’
คริสปิดหน้าสมุดลงแม้เพิ่งจะอ่านมาได้แค่หน้ากลางๆเท่านั้น เขากำลังจะทนอ่านไม่ไหว ทำไมอี้ชิงไม่พูดกับเขา ทำไมต้องเก็บไว้คนเดียวมานานขนาดนี้ ถ้าร้องไห้ออกมาก็ยังดีเสียกว่าทำกลบเกลื่อนไม่รู้สึกอะไร
แถมพออี้ชิงพยายามปกปิดสิ่งที่ทำให้เขารำคาญก็โดนคริสหาว่าน่าเบื่ออีก... ทำไมต้องทนขนาดนี้... กับแค่ผู้ชายไม่มีความรับผิดชอบคนเดียว...
คริสสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเปิดอ่านหน้าต่อไปเงียบๆน้ำตาของเขาไหลมาอยู่ที่ขอบตา แต่ร้องไห้ไม่ออกเพราะจุกอกไปหมด วันที่เริ่มเปลี่ยนเข้าใกล้ปัจจุบันมากขึ้นเรื่อยๆจนเขาสามารถจำได้ทุกเรื่องที่อี้ชิงพูดถึงตั้งแต่เดือนก่อน ไล่มาเดือนนี้ และเพิ่งอาทิตย์ที่แล้ว กับเมื่อวานก่อน...
‘หึงก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ พี่อยากให้อี้ทำอะไรกันแน่ เชิญผู้หญิงเข้ามากอดแฟนหรือไง พี่บอกว่าอี้ไม่เคยเข้าใจพี่แต่พี่ก็ไม่เคยมองเห็นอี้เหมือนกัน ไม่เคยรู้ว่าอี้ไม่ชอบ ไม่เคยรู้ว่าอี้หึง อี้ทำไม่ได้ ปล่อยให้ใครมาวุ่นวายกับคนพิเศษโดยที่ไม่เสียใจไม่ได้ จะงอนก็ไม่ได้ แต่อี้ผิดเอง ผิดที่รักพี่ ผิดที่หลอกให้พี่เข้าใจผิดว่าอี้เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่งี่เง่า แต่วันนี้อี้ก็พลาดอีกแล้วก็ทำให้พี่เบื่อ อี้จะไม่ทำแบบนี้อีก แต่อี้ไม่รู้ต้องทำยังไง อี้เสียใจ ร้องไห้ พูดอะไรไม่ได้ ทำยังไงพี่ถึงจะรักอี้โดยที่อี้ไม่ต้องทนเจ็บและปกปิดข้อเสียของตัวเอง เพราะอี้ไม่ดีอย่างเขาอี้กลัวว่าพี่จะทิ้งอี้ไปหาคนอื่น แต่อี้เสียใจ’
หยดน้ำตาที่ค้างเติ่งอยู่นานหยดลงบนสมุดบันทึก คริสรู้สึกเจ็บลำคอไปหมดเพราะกั้นก้อนน้ำตา เขาพลิกหน้ากระดาษอีกครั้งเข้าสู่วันที่ปัจจุบันคือวันนี้.....เดาเอาไว้ไม่ผิดว่าอี้ชิงต้องเป็นอะไรแน่ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้งก่อนจะอ่านบันทึกหน้าสุดท้ายของจาง อี้ชิง...
‘รู้แล้ว...รู้แล้วว่าทำไมอี้ถึงไม่เคยทำอะไรดีสักอย่าง ไอ้นั้นก็งี่เง่า ไอ้นี่ก็น่ารำคาญรกหูรกตาไปหมด ทำไมพี่ใจร้าย ถ้าพี่หมดรักทำไมไม่พูดออกมาตรงๆ ทำไมต้องดูถูกความตั้งใจของอี้ทำเหมือนมันเป็นเรื่องตลก ทำไมพี่ไม่บอกว่าพี่อยากคุยอยากกอดกับคนอื่นโดยที่เป็นอิสระไม่ต้องให้ใครมาตามวีนใส่ ทำไมไม่บอกว่าอี้ทำให้พี่อับอายจนไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นแฟนด้วย ทำไมไม่บอกว่าไม่อยากมีแฟนแบบอี้ ทำไมไม่บอกเลิก ทำไมต้องทำให้เจ็บ ทำไมต้องหลอกให้อี้พยายามเพราะรักแต่พี่กลับไม่สนใจมันเพราะอี้ชิงคนนี้หมดคุณค่าให้ใส่ใจตั้งนานแล้ว พี่แค่จะหาวิธีกำจัดอี้ให้ออกไปไกลๆจากชีวิตโดยที่ไม่ต้องบอกเลิกเองกับปาก ใจร้าย เลือดเย็น อี้ทนเพื่อพี่มาตลอด ทนได้ทุกอย่างถ้ามันทำให้พี่รักอี้แต่ครั้งนี้อี้ทนไม่ได้ที่พี่เห็นความรู้สึกอี้เป็นเรื่องตลก ไม่ต้องใส่ใจอีกแล้วว่าอี้ชิงจะงี่เง่า ไม่แอบร้องไห้คนเดียว ไม่อยากหึง ไม่อยากรักพี่... พรุ่งนี้อี้จะไปบอกเลิกเอง อี้กลัวว่าพี่จะขำที่อี้โง่และรู้ตัวช้าแต่อี้จะไม่ทนต่อไป แฟนคนแรก รักครั้งแรก อี้ไม่เคยคิดว่ามันจะจบแบบนี้ อี้นึกว่าพี่จะนอกใจแล้วบอกเลิกหรือเบื่อแล้วบอกเลิก แต่การที่พี่ไม่ยอมบอกเลิกแต่ยืนมองความโง่ของคนอื่นแบบนี้มันเจ็บกว่าหลายทำ อยากจะจูบใคร กอดใคร รักใครก็เชิญ อี้ไม่อยากคบกับคนใจร้ายอีกแล้ว....’
คริสพับสมุดลงเมื่อเห็นกระดาษหน้าต่อๆไปเป็นหน้าว่าง เขาซบหน้าลงกับฝ่ามือปล่อยนำตาให้ไหลออกมาโดยไร้ซึ่งเสียงร้องไห้ มีเพียงเสียงสูดลมหายใจเป็นระยะเพื่อกลั้นความเสียใจ ทำไมไม่รู้มาก่อนว่าอี้ชิงเสียใจขนาดนี้ ทำไมเขาถึงใจร้ายแบบนี้ ทำไมคริสถึงได้เลวและเห็นแก่ตัวมากขนาดนี้....
คนขี้โมโห จาง อี้ชิง... จริงๆแล้วเป็นฝ่ายที่ถูกทำร้ายมาโดยตลอดและไม่เคยปริปากพูดหรือเรียกร้องอะไรจากเขา...
คริสเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือเขาหันไปมองร่างเล็กๆบนเตียงและพบกับสายตาของอี้ชิงที่มองมาโดยที่ไม่พูดอะไร คริสเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปนั่งบนเตียง อี้ชิงยังคงนิ่งก่อนจะพลิกตัวกลับไปกอดหมอนข้างเหมือนเดิม
“อี้...คุยกับพี่ก่อนได้ไหม” คริสเอนตัวลงนอนหันหน้าตะแคงไปกอดคนตัวเล็กเอาไว้ ฝังปลายจมูกโด่งลงบนกลุ่มผมนุ่มนิ่มเหมืนที่ชอบทำเวลาต้องการอะไรสักอย่าง
“อี้ไม่อยากคุย” อี้ชิงตอบเสียงอ้อมแอ้มในขณะที่ใบหน้ายังซุกอยู่กับผ้านวมและหมอนข้าง ไหนๆก็เป็นวันสุดท้ายแล้วเขาไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอะไรอีกต่อไป
“จะบอกเลิกพี่จริงๆหรอ” พูดไปด้วยเสียงแหบพร่า คริสกำลังรู้สึกเจ็บปวด น้ำตาของเขาไหลดิ่งลงหมอนหยดแล้วหยดเล่าแต่ไร้ซึ้งเสียงร้องไห้
“พี่จะเลิกตอนนี้ก็ได้”
“พี่ไม่เลิก พี่ขอโทษ” คริสกระชับอ้อมแขนดึงเอาคนตัวเล็กเข้ากอดไว้แน่น เขารักอี้ชิงไปแล้ว หลงรักความซื่อสัตย์ที่อี้ชิงมอบให้ หลงรักลักยิ้มมุมปากและนิสัยเอาใจใส่อ่อนโยนของอี้ชิง เขาไม่อยากเสียอี้ชิงไปเพราะเรื่องแค่นี้
“ทำไม...อึก...พี่ยังสนุกไม่พอหรือไง พี่อยากจะให้...ฮึก...อี้เจ็บไปถึงไหน” อี้ชิงพยายามจะไม่ร้องไห้และกลั้นสะอื้นอย่างสุดความสามารถ ทั้งๆที่รู้ว่าเขาเจ็บทั้งๆที่รู้ว่าอี้ชิงเป็นคนในฝันให้คริสไม่ได้ ทำไมต้องยื้อเอาไว้ จะทำให้ทรมานใจไปถึงไหน
“พี่ขอโทษ คนดี...” แรงสั่นสะอื้นของอี้ชิงทำให้คริสเจ็บไปทั้งอก เขาผิดเต็มๆแถมโง่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดมาตั้งนาน นานมากและโง่ซ้ำแซะจนอี้ชิงไม่อยากทนต่อไป
“ฮึก...ฮรื่อ...อี้ไม่ใช่...อึก...คนที่พี่ต้องการหรอก...ฮึก” อี้ชิงสูดน้ำมูกและยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ถ้าทนไม่ได้และเขาเองก็ไม่เป็นที่ต้องการตั้งแต่แรกเรื่องมันก็ควรจะจบซะ ไม่ต้องยื้อให้ใครรู้สึกไม่ดีอีกต่อไป
“แต่พี่ไม่ต้องการคนอื่น” คริสรักอี้ชิงไปแล้ว ไม่ว่าทำยังไงก็คงเลิกรักไม่ได้ เขาผิดเองที่ไม่รู้ว่าอี้ชิงอ่อนไหวขนาดนี้ ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรกคริสจะยอมง้ออี้ชิงไปทุกๆวันโดยที่ไม่ขอให้คนตัวเล็กปรับปรุงตัวเลย ถ้ารู้ว่าอี้ชิงจะงอนเพราะรักและมั่นคงกับเขามากขนาดนี้ คริสจะยอมเป็นแฟนกับคนขี้งอนไปจนวันตาย
“แต่อี้ไม่อยากทน...อึก...ไม่อยากเจ็บ”
“ก็ไม่ต้องทน...นะครับ...ให้โอกาสพี่ ต่อไปนี้ถ้าโกรธหรือเสียใจก็บอก อย่าคิดว่าพี่จะรำคาญ” ก็เพราะความคิดมากนี่แหละที่ทำให้อี้ชิงเป็นคนอ่อนไหว เอาแต่กลัวว่าเขาจะรำคาญจะบอกเลิก แต่ที่กลัวจะโดนบอกเลิกก็เพราะรักเขามาก...ทำไมคริสถึงได้ทำร้ายคนที่รักตัวเองมากขนาดนี้ได้ลงคอ
“ฮึก...ฮรื่อ....” อี้ชิงพูดอะไรไม่ออก ความกลัวความระแวงมันฝังอยู่ในใจหมดแล้วเขายังคงกลัวว่าถ้าทำอะไรผิดคริสจะไม่พอใจ เหมือนสิ่งที่ปลูกฝังมานานจนลืมไม่ได้
“พี่ผิดเอง... ผิดที่ไม่รู้อะไรเลย ถ้าลำบากใจจะเลิกก็ได้ พี่อยากให้อี้ฝืนตัวเอง...”
“ฮึก....”
“แล้วเริ่มต้นกันใหม่นะ.... ฝันดีครับ...” คริสไม่อยากอยู่ให้อี้ชิงลำบากใจไปมากกว่านี้ เขาเกร็งต้นคอเขยื้อนใบหน้าไปจูบที่ขมับเปียกชื้นก่อนจะยันตัวขึ้นนั่งหยิบเอาโทรศัพท์บนโต๊ะใส่กระเป๋ากางเกงและถือสมุดบันทึกติดมือออกไปด้วย
เสียงเปิดและปิดประตูเบาลง อี้ชิงร้องไห้ออกมาสุดเสียงอย่างทุกข์ทรมานที่สุดเพราะพิษรักที่กัดกินหัวใจจนเจ็บปวดราวกับจะตายให้ได้ โดนความรักที่มากมายย้อนกลับมาทำร้ายจนเจ็บเจียนตาย
นี่เป็นบทเรียนหรือป่าว... บทเรียนของคนโกหกที่หลอกตัวเองเพื่อให้คนอื่นรัก....
อี้ชิงคงจะเข็ดขยาดและเจ็บปวดกับมันไปอีกนาน หรืออาจจะไม่กล้าเปิดใจตลอดไป....
ในเช้าวันศุกร์ที่แสนหม่นหมอง จาง อี้ชิงเดินเข้ามาในมหา’ลัยด้วยสภาพไม่สู้ดีเขาร้องไห้ทั้งคืนจนเช้าแล้วตื่นอาบน้ำมามหาลัยเลยทั้งๆที่วันนี้มีเข้าเรียนเก้าโมง แต่วันนี้อี้ชิงไม่ได้มาเรียน เขาแค่อยากมาเจอชานยอลเพื่อหาคนปลอบใจเท่านั้น ถึงเข้าเรียนก็คงไม่รู้เรื่องแน่เพราะหัวใจของเขามันไม่พร้อมจะเพชิญกับอะไรทั้งสิ้น นี่สินะที่เรียกว่าอาการอกหัก
ทุกข์กาย ทุกข์ใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ รู้สึกอยากร้องไห้ตลอดเวลา ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งสิ้น...คิดถึง...อยากเจอ...อยากกลับไปคืนดีด้วย.... เพราะแบบนี้มันทรมานกว่าการที่ต้องอดทนเป็นไหนๆ
ติ๊ด ติ๊ด
เสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น อี้ชิงล้วงมือเข้าไปหยิบมันขึ้นมากดปลดล๊อกก่อนจะชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะอ่านดีหรือไม่ เพราะมันเป็นเบอร์ของคริส...ถึงจะลบชื่ออกจากโทรศัพท์ไปแล้วแต่เขาก็ยังจดจำหมายเลขได้ดี
อี้ชิงถอนหายใจยาวก่อนจะตัดสินใจเปิดข้อความนั้นขึ้นดู เพียงข้อความประโยคเดียวไล่อ่านไม่ถึงสิบวินาทีก็จบ น้ำตาใสๆเอ่อคลออยู่ที่ขอบตาก่อนจะไหลลงมา อี้ชิงกดปิดโทรศัพท์แล้วสะอื้นออกมาเบาๆ เพราะนี่ยังเป็นเวลาเช้ามากแทบจะไม่มีใครอยู่ในมหาลัยด้วยซ้ำ เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วเม้มริมฝีปากแน่น
“คบกับพี่ได้ไหม...” เสียงทุ้มดังขึ้นอยู่ใกล้กกหู ช่อกุหลาบสีแดงถูกยื่นอ้อมมาจากด้านหลังพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมประจำตัวที่อี้ชิงจำได้ดีว่าเป็นใคร
กุหลาบสีแดงเหมือนเดิม ม้านั่งตัวเดิม เวลาเช้าเหมือนเดิม....ทุกอย่างเหมือนวันที่คริสขออี้ชิงคบเป็นแฟนครั้งแรกไม่มีผิด...
“อึก...ฮื่อ....” อี้ชิงไม่รู้ว่าเขาควรจะซึ้ง เสียใจหรือเดินหนีไปไกลๆดีกับทั้งคนตัวสูงและข้อความที่ถูกส่งเข้ามาก่อนหน้า
‘เริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม ให้พี่เป็นฝ่ายรักและศึกษาอี้บ้าง ให้โอกาสพี่นะครับ’
“ได้ไหมครับ...” คริสโน้มตัวกอดอี้ชิงจากด้านหลังม้านั่ง แค่ข้อความจากเขาก็ยังทำให้คนตัวเล็กร้องไห้มากขนาดนี้ คริสไม่อยากนึกเลยว่าตอนนี้หัวใจของอี้ชิงจะเปราะบางมากขนาดไหน เขาแค่อยากขอโอกาสให้ได้ดูแลอี้ชิงอีกครั้งและสัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆซ้ำสอง เมื่อคืนเขาอ่านไดอารี่เล่มนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนนอนไม่หลับเพราะต้องการตอกย้ำสิ่งที่พลาดให้กับตัวเอง
“ฮึก...พี่...” อี้ชิงหันหลังกับไปกอดคริสไว้แน่น ทำไมต้องมาตอนที่เขารู้สึกอ่อนไหว อี้ชิงรู้ว่ายังไงก็ปฏิเสธคริสไม่ลง ถ้าคริสไม่ได้เห็นเขาโง่และไม่เคยดูถูกเขา อี้ชิงก็อยากจะทนต่อไปเพราะการเลิกกันมันทรมานเหลือเกิน ทรมานเกินกว่าที่จินตนาการไว้หลายเท่า
“โอ๋.... ไม่ร้องไห้นะ ให้โอกาสพี่นะคนดี พี่สัญญาว่าจะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด อย่าร้องไห้นะ...” คริสไม่เคยเห็นอี้ชิงร้องไห้เลยสักครั้งตั้งแต่ที่คบกันมา ไม่เคยรู้ว่าน้ำตาของคนตรงหน้ามีผลกระทบต่อจิตใจเขามากขนาดไหน เรียกได้ว่าถ้าอี้ชิงร้องไห้แล้วสั่งให้เขาไปตายคริสก็จะทำถ้ามันสามารถหยุดน้ำตาของคนรักได้
“พี่อย่าเบื่ออี้นะ...ฮรื่อ....อย่ารำคาญอี้...ฮรื่อ!” อี้ชิงร้อไห้แงเหมือนกับเด็กๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงถึงจะสื่อออกไปว่าอี้ชิงคนนี้ไม่มีอะไรโดดเด่นพอจะสู้คนอื่นได้แต่เขาอยากให้คริสรักเขาแค่คนเดียว ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้หรือป่าวแต่อี้ชิงก็อยากได้คำสัญญาแม้มันจะเป็นคำโกหกก็ตาม
“ครับ พี่สัญญานะ” คริสกดลงบนริมฝีปากอิ่มอย่างรักใคร่ ไม่ว่ายังไงต่อจากนี้คริสสาบานว่าเขาจะไม่ทำให้อี้ชิงเสียใจเด็ดขาดไม่ว่าเรื่องอะไร อีกไม่กี่สัปดาห์งานละครเวทีก็จะเริ่มแต่เขากลับโทรไปลาออกกลางคันอย่างเอาแต่ใจจนคณะละครบ่นอุบ
จะไม่ทำให้อี้ชิงเสียใจอีกแล้ว จะไม่แคร์คนอื่นมากกว่า และจะให้ความสำคัญกับอี้ชิงมากกว่าใครๆ
คริสแค่กลัวว่าเขาจะโง่ซ้ำและไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเป็นครั้งที่สาม...
เริ่มต้นใหม่กับการศึกษานิสัยที่แท้จริงของ จาง อี้ชิง... ไม่ว่าจะดีเลวแค่ไหน คริสเชื่อว่านิสัยอ่อนโยนและคามเอาใจใส่ของอี้ชิงที่เขาหลงรักไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อตบตา หลงรัก จาง อี้ชิง.... ไม่ว่าจะมีข้อเสียแบบไหนคริสก็พร้อมจะเปิดใจรับทุกรูปแบบเพราะเขาเองก็ไม่ได้เพอร์เฟคแต่คนตัวเล็กก็ยังรับได้และทนมาตลอด ต่อไปก็ถึงคราวที่คริสจะต้องแสดงให้อีกฝ่ายเห็นความใส่ใจของตัวเองบ้าง...
“อย่าเลิกรักพี่เลยนะ......”
-END-
คิดถึง เลยมาย้อนอ่านช็อตฟิคที่ยังไม่เคยอ่าน ชิงน่าสงสารมากอ่ะ TT^TT
ตอบลบเสียน้ำตาให้อี้ไปเป็นลิตรอะ พฮรืออออ อี้ใจอ่อนให้ อพค ง่ายไปปปปปป หมั่นไส้ เชิญไปเป็นคนของสาธารณะเถอะ!! ตอนแรกก็อยากจะให้พลิกเป็นชานนี่มาดามใจอี้ แต่กลายเป็นมีบยอนแฝ้วซะนี่
ตอบลบเกือบแล้วพี่คริส .. พี่เกือบจะเสียอี้ชิงไปจริงๆแล้วนะ หมั่นไส้พี่คริสนะสำหรับเรื่องนี้ คนที่ตัวเองรักเขาอดทนมาตลอดยังดูไม่ออกอีก คนเขายอมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อดทนอดกลั้นความรู้สึกต่างๆนานาไว้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ คนเราน่ะถ้าเพื่อคนที่รักแล้วรู้จักคำว่าปฏิเสธบ้างคงไม่เป็นไรหรอก ^^ ตอนใกล้จบนี่เป็นอะไรที่อยากให้จบแบบ .. ชานเลย์ เหอะ แต่อ่านไปเรื่อยๆ ชานยแลมีแฟนชื่อแบคฮยอน .. ไม่เป็นไรอย่างน้อยก็ชานแบควะ 555555555 ช่างเป็นฟิคที่หน่วงและหวาน(?)ไปในเวลาเดียวกัน 555555 #ร้องไห้เลยล่ะ กร๊ากกกกกกกกกกกกก
ตอบลบ*ติดตามค่ะ
ร้องไห้แล้ววววว. T_______T
ตอบลบหน่วงอะ ไรต์ทำร้ายเค้าาา :(
เราชอบภาษานะ แบบว่าไม่โตมาก แต่ก็ไม่เด็กไป
แล้วก็ อ่านแล้วอินง่ะ อินมากกเลยย
ร้องไห้เลย สงสารนองชิงมาก
ตอบลบ